พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,377 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 260/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่รับอุทธรณ์เนื่องจากทนายความไม่ได้รับอนุญาต และผลของการไม่แก้ไขอุทธรณ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยเหตุที่ว่าผู้ลงชื่อในอุทธรณ์ศาลมิได้อนุญาตให้เป็นทนายความของจำเลยนั้น เป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232 เมื่อจำเลยมิได้ทำอุทธรณ์ให้ถูกต้องและมายื่นใหม่ภายในอายุอุทธรณ์แต่กลับร้องขอแก้ไขความบกพร่องในอุทธรณ์ที่ศาลไม่รับเสียแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตจำเลยจึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา 234 และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นแล้ว ดังนี้ คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 236 แม้ฎีกาของจำเลยจะมีข้อความคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขความบกพร่องก็ดี แต่ผลที่สุดก็ขอให้สั่งอนุญาตให้จำเลยลงชื่อในอุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นไม่รับแล้วเท่ากับฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นนั้นเองจำเลยจะฎีกาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2497-2500/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของรถไฟต่ออุบัติเหตุทางตัดกับถนน: หน้าที่ป้องกันภัยตามกฎหมาย
ในคดีที่โจทก์และจำเลยต่างฟ้องซึ่งกันและกันโดยกล่าวอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งประมาทและให้รับผิดฐานละเมิดซึ่งจำเลยเรียกค่าเสียหายเพียง 800 บาทเศษนั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยประมาทฝ่ายเดียวและให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ว่าเป็นความประมาทของโจทก์ฝ่ายเดียวหรือเป็นความประมาทร่วมกันของจำเลยและโจทก์ เป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้
พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 ส่วนที่ 5ว่าด้วยความปราศจากภัยแห่งประชาชน มาตรา 72, 88 บัญญัติว่า เมื่อทางรถไฟผ่านข้ามถนนสำคัญ ให้ทำประตูหรือขึงโซ่หรือทำรางกั้นขวางถนนหรือทางนั้น ๆ ตามควรแก่การพนักงานรถไฟคนใดละเลยไม่กระทำตามหน้าที่โดยประมาทท่านว่ามีความผิด ดังนี้การรถไฟ ฯ จำเลยผู้ดำเนินกิจการรถไฟมีหน้าที่ต้องป้องกันภัยในการที่จะเดินรถไฟผ่านถนนสายนั้นๆ
ตรงที่เกิดเหตุเป็นที่ซึ่งถนนตัดกับทางรถไฟ จำเลยได้ทำเครื่องกั้นถนนไว้โดยใช้คนหมุนขึ้นลงปิดกั้นถนนขณะรถไฟแล่นผ่าน แต่ขณะเกิดเหตุพนักงานของจำเลยละเว้นไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ โดยไม่ปิดเครื่องกั้นถนน อันเป็นการฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายที่ประสงค์จะปกป้องอันตรายประชาชน เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์แล่นผ่านเข้าไปถูกรถไฟของจำเลยชนเกิดความเสียหายขึ้น ถือได้ว่าพนักงานของจำเลยประมาทเลินเล่อ เพราะฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดด้วย
พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 ส่วนที่ 5ว่าด้วยความปราศจากภัยแห่งประชาชน มาตรา 72, 88 บัญญัติว่า เมื่อทางรถไฟผ่านข้ามถนนสำคัญ ให้ทำประตูหรือขึงโซ่หรือทำรางกั้นขวางถนนหรือทางนั้น ๆ ตามควรแก่การพนักงานรถไฟคนใดละเลยไม่กระทำตามหน้าที่โดยประมาทท่านว่ามีความผิด ดังนี้การรถไฟ ฯ จำเลยผู้ดำเนินกิจการรถไฟมีหน้าที่ต้องป้องกันภัยในการที่จะเดินรถไฟผ่านถนนสายนั้นๆ
ตรงที่เกิดเหตุเป็นที่ซึ่งถนนตัดกับทางรถไฟ จำเลยได้ทำเครื่องกั้นถนนไว้โดยใช้คนหมุนขึ้นลงปิดกั้นถนนขณะรถไฟแล่นผ่าน แต่ขณะเกิดเหตุพนักงานของจำเลยละเว้นไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ โดยไม่ปิดเครื่องกั้นถนน อันเป็นการฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายที่ประสงค์จะปกป้องอันตรายประชาชน เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์แล่นผ่านเข้าไปถูกรถไฟของจำเลยชนเกิดความเสียหายขึ้น ถือได้ว่าพนักงานของจำเลยประมาทเลินเล่อ เพราะฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2459/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่านา: การตีความลักษณะสัญญาและการมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
โจทก์ให้จำเลยทำนาในที่นาของโจทก์โดยโจทก์เป็นผู้จัดหาพันธุ์ข้าวและปุ๋ย เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่และซ่อมแซมพนังกั้นน้ำเพื่อป้องกันมิให้ข้าวในนาเสียหาย ส่วนจำเลยเป็นผู้ออกแรง ไถคราด ตกกล้า ปักดำ เก็บเกี่ยวและนวดข้าว โดยใช้อุปกรณ์การทำนาของจำเลยเมื่อทำนาได้ข้าวแล้ว ตวงเอาข้าวจำนวนหนึ่งไว้เป็นพันธุ์ข้าวในปีต่อไป ข้าวที่เหลือแบ่งกันคนละครึ่งระหว่างโจทก์จำเลย หากปีใดการทำนาไม่ได้ผลต่างไม่ต้องเสียอะไรให้แก่กัน การที่โจทก์มอบนาให้จำเลยทำและได้รับข้าวเป็นค่าตอบแทนเช่นนี้ ถือว่าเป็นการเช่าที่ดินเพื่อทำนาตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 4 หาใช่เป็นการจ้างจำเลยทำนาไม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บัญญัติว่า เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ตามบทบัญญัตินี้หาได้บัญญัติให้การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะไม่ และตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 4 การเช่านาเพื่อทำนาไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนั้น การเช่านาของจำเลยจากโจทก์แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินเพื่อทำนาโดยไม่มีกำหนดเวลาไว้ก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ใช้บังคับ จำเลยมีสิทธิเช่าทำนาในที่ดินดังกล่าวต่อไปอีก 6 ปี ตามมาตรา 46
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บัญญัติว่า เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ตามบทบัญญัตินี้หาได้บัญญัติให้การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะไม่ และตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 4 การเช่านาเพื่อทำนาไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนั้น การเช่านาของจำเลยจากโจทก์แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินเพื่อทำนาโดยไม่มีกำหนดเวลาไว้ก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ใช้บังคับ จำเลยมีสิทธิเช่าทำนาในที่ดินดังกล่าวต่อไปอีก 6 ปี ตามมาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2459/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่านา แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ไม่ตกเป็นโมฆะ และมีสิทธิเช่าต่อเนื่องตามกฎหมาย
โจทก์ให้จำเลยทำนาในที่นาของโจทก์โดยโจทก์เป็นผู้จัดหาพันธุ์ข้าวและปุ๋ยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่และซ่อมแซมผนังกั้นน้ำเพื่อป้องกันมิให้ข้าวในนาเสียหาย ส่วนจำเลยเป็นผู้ออกแรง ไถคราด ตกกล้า ปักดำ เก็บเกี่ยวและนวดข้าว โดยใช้อุปกรณ์การทำนาของจำเลย เมื่อทำนาได้ข้าวแล้ว ตวงเอาข้าวจำนวนหนึ่งไว้เป็นพันธุ์ข้าวในปีต่อไป ข้าวที่เหลือแบ่งกันคนละครึ่งระหว่างโจทก์จำเลย หากปีใดการทำนาไม่ได้ผลต่าง ไม่ต้องเสียอะไรให้แก่กัน การที่โจทก์มอบนาให้จำเลยทำและได้รับข้าวเป็นค่าตอบแทนเช่นนี้ ถือว่าเป็นการเช่าที่ดินเพื่อทำนาตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 4 หาใช่เป็นการจ้างจำเลยทำนาไม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บัญญัติว่า เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ตามบทบัญญัตินี้หาได้บัญญัติให้การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะไม่ และตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 4 การเช่านาเพื่อทำนาไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนั้น การเช่านาของจำเลยจากโจทก์ แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินเพื่อทำนาโดยไม่มีกำหนดเวลาไว้ก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ใช้บังคับ จำเลยมีสิทธิเช่าทำนาในที่ดินดังกล่าวต่อไปอีก 6 ปี ตามมาตรา 46
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บัญญัติว่า เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ตามบทบัญญัตินี้หาได้บัญญัติให้การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะไม่ และตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 4 การเช่านาเพื่อทำนาไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนั้น การเช่านาของจำเลยจากโจทก์ แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินเพื่อทำนาโดยไม่มีกำหนดเวลาไว้ก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ใช้บังคับ จำเลยมีสิทธิเช่าทำนาในที่ดินดังกล่าวต่อไปอีก 6 ปี ตามมาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2370/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องคดีข้าราชการถูกลงโทษ: มาตรา 107 ยังใช้ไม่ได้จนกว่าจะมีกฎหมายจัดตั้งศาลปกครอง
แม้ว่าพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518 มาตรา 107 จะบัญญัติให้ผู้ถูกสั่งลงโทษมีสิทธิที่จะฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้บังคับบัญชา แต่มาตรา 120 บัญญัติว่าในระหว่างที่ยังมิได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง สิทธิการฟ้องคดีต่อศาลปกครองของผู้ถูกลงโทษตามความในมาตรา 107 ยังไม่ให้ใช้บังคับ ดังนั้น เมื่อยังไม่มีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง สิทธิการฟ้องคดีตามความในมาตรา 107 จึงยังไม่อาจกระทำได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาให้ทรัพย์สินไม่สมบูรณ์-โมฆะ หากไม่ทำตามฟอร์มตามกฎหมาย
โจทก์ทำสัญญากับจำเลยผู้เป็นบุตรว่า โจทก์ยินยอมสละสิทธิในการรับมรดกซึ่งมีสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์สิทธิและประโยชน์ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับจากบิดาโจทก์โดยยินยอมให้ทรัพย์มรดกดังกล่าวตกทอดได้แก่จำเลย สัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความเพราะโจทก์จำเลยมิได้มีข้อพิพาทกันเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของบิดาโจทก์ ในขณะทำสัญญาหรือจะมีขึ้นในภายหน้าหากเป็นสัญญาให้สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์
สัญญาให้สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์เมื่อไม่ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ ทั้งไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 523 ถึง 525 บังคับไว้ย่อมไม่สมบูรณ์ เท่ากับไม่มีสัญญาให้ซึ่งสังหาริมทรัพย์และที่เกี่ยวกับการให้อสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 115
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นไว้ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ว่าสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ หากเป็นสัญญาให้ที่ไม่สมบูรณ์และเป็นโมฆะเพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
สัญญาให้สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์เมื่อไม่ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ ทั้งไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 523 ถึง 525 บังคับไว้ย่อมไม่สมบูรณ์ เท่ากับไม่มีสัญญาให้ซึ่งสังหาริมทรัพย์และที่เกี่ยวกับการให้อสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 115
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นไว้ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ว่าสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ หากเป็นสัญญาให้ที่ไม่สมบูรณ์และเป็นโมฆะเพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือตัดมรดกมีผลบังคับใช้ได้แม้ทำนอกสถานที่ราชการ และไม่มีสิทธิรับมรดกแทนทายาทที่ถูกตัด
การปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทั่วไปนั้นถ้าไม่มีกฎหมายบังคับไว้โดยตรงหรือโดยปริยายว่าให้ต้องทำในสถานที่ราชการเท่านั้นแล้วพนักงานผู้มีหน้าที่ก็ย่อมจะออกไปปฏิบัติราชการตามหน้าที่นอกสถานที่ได้ และการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติราชการเป็นการบริการให้แก่ประชาชนในวันหยุดราชการเมื่อไม่มีกฎหมายห้ามไว้และไม่เป็นการขัดต่อระเบียบแบบแผนก็ย่อมจะต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติราชการโดยชอบข้าราชการผู้ปฏิบัติราชการเช่นนี้ย่อมเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายการที่ปลัดอำเภอได้ออกไปจากอำเภอไปทำหนังสือตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดก เอกสารดังกล่าวจึงเป็นหนังสือตัดมรดกที่ได้ทำต่อหน้าเจ้าพนักงานโดยชอบมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย
ท. มารดาจำเลยถูกตัดไม่ให้รับมรดกตั้งแต่ก่อน ท.ตาย ท. จึงไม่ได้เป็นทายาทตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 อีกต่อไป ท. จึงไม่มีที่(ความเป็นทายาท) ที่จำเลยจะเข้ารับมรดกแทนได้และไม่มีบทกฎหมายมาตรา ใดบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้สืบสันดานที่จะเข้าแทนที่การรับมรดกของทายาทโดยธรรมที่ถูกตัดมรดก หนังสือตัดไม่ให้รับมรดกเป็นการแสดงเจตนาโดยเด็ดขาดปราศจากเงื่อนไขใด ๆ ของเจ้ามรดกจึงมีผลทันทีเมื่อได้ทำขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมายหาใช่จะมีผลต่อเมื่อเจ้ามรดกตายไม่ เพราะหนังสือตัดทายาทโดยชอบธรรมไม่ใช่พินัยกรรมส่วนการที่การแสดงเจตนาตามหนังสือตัดการรับมรดกจะเกิดผลขึ้นเมื่อใดเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
ท. มารดาจำเลยถูกตัดไม่ให้รับมรดกตั้งแต่ก่อน ท.ตาย ท. จึงไม่ได้เป็นทายาทตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 อีกต่อไป ท. จึงไม่มีที่(ความเป็นทายาท) ที่จำเลยจะเข้ารับมรดกแทนได้และไม่มีบทกฎหมายมาตรา ใดบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้สืบสันดานที่จะเข้าแทนที่การรับมรดกของทายาทโดยธรรมที่ถูกตัดมรดก หนังสือตัดไม่ให้รับมรดกเป็นการแสดงเจตนาโดยเด็ดขาดปราศจากเงื่อนไขใด ๆ ของเจ้ามรดกจึงมีผลทันทีเมื่อได้ทำขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมายหาใช่จะมีผลต่อเมื่อเจ้ามรดกตายไม่ เพราะหนังสือตัดทายาทโดยชอบธรรมไม่ใช่พินัยกรรมส่วนการที่การแสดงเจตนาตามหนังสือตัดการรับมรดกจะเกิดผลขึ้นเมื่อใดเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1762/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์: ใช้กฎหมาย ณ เวลาอุทธรณ์ คดีทุนทรัพย์น้อยกว่า 20,000 บาท อุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ได้
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเรื่องสิทธิอุทธรณ์ใช้กฎหมายในขณะยื่นอุทธรณ์ จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อกฎหมายใหม่ใช้บังคับแล้ว คดีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท จึงอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคืนการให้โดยอ้างยากไร้ ต้องยากไร้จริงตามกฎหมาย
สามีโจทก์ยกที่นาทำกินให้บุตรชาย 4 คน โจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลยเมื่อยกให้แล้วโจทก์กับสามียังมีที่ดินปลูกบ้านพร้อมเรือนอยู่อาศัย 2 หลัง มีที่ดินปลูกบ้านอีก 2 ไร่ และที่ดินนาทำกิน 5 ไร่ เช่านาจากคนอื่นทำ 20 ไร่ มีกระบือทำนา 2 ตัว บุตรชาย 4 คนที่ได้รับที่ดินได้ให้เงินและสิ่งของแก่โจทก์และสามีเป็นครั้งคราวตามฐานะ ส่วนจำเลยเคยใช้ข้าวเปลือก 50 ถัง ให้เงินครั้งละ 100-200 บาท ดังนี้แม้โจทก์จะยากจนก็เป็นฐานะตามปกติตั้งแต่โจทก์และสามียกที่ดินให้ลูกอยู่แล้วหาใช่เพิ่งยากจนลงในตอนหลังไม่ ความยากจนดังกล่าวไม่ถึงขนาดเป็นยากไร้ ตามความหมายของมาตรา 531 (3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้นแม้จะฟังว่าโจทก์ให้ที่พิพาทแก่จำเลยโดยเสน่หาและจำเลยไม่ยอมให้ข้าวเปลือกแก่โจทก์ 50 ถังตามที่โจทก์ขอ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอคืนที่พิพาทจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคืนการให้โดยอ้างยากจน: ต้องยากจนถึงขั้นยากไร้ตามกฎหมายเท่านั้น
สามีโจทก์ยกที่นาทำกินให้บุตรชาย 4 คน โจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลย เมื่อยกให้แล้วโจทก์กับสามียังมีที่ดินปลูกบ้านพร้อมเรือนอยู่อาศัย 2 หลัง มีที่ดินปลูกบ้านอีก 2 ไร่ และที่ดินทำกิน 5 ไร่ เช่านาจากคนอื่นทำ 20 ไร่ มีกระบือทำนา 2 ตัว บุตรชาย 4 คนที่ได้รับที่ดินได้ให้เงินและสิ่งของแก่โจทก์และสามีเป็นครั้งคราวตามฐานะ ส่วนจำเลยเคยให้ข้าวเปลือก 50 ถังให้เงินครั้งละ 100-200 บาท ดังนี้แม้โจทก์จะยากจนก็เป็นฐานะตามปกติตั้งแต่โจทก์และสามียกที่ดินให้ลูกอยู่แล้ว หาใช่เพิ่งยากจนลงในตอนหลังไม่ ความยากจนดังกล่าวไม่ถึงขนาดเป็นคนยากไร้ตามความหมายของมาตรา 531(3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้นแม้จะฟังว่าโจทก์ให้ที่พิพาทแก่จำเลยโดยเสน่หาและจำเลยไม่ยอมให้ข้าวเปลือกแก่โจทก์ 50 ถังตามที่โจทก์ขอ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอคืนที่พิพาทจากจำเลยได้