พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,842 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจร้องทุกข์ในความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค กรณีเจ้าของร้านเป็นภรรยา
จำเลยออกเช็คให้กับร้าน ม. เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เจ้าของร้าน ม.ย่อมได้รับความเสียหาย ร้าน ม. นี้ ต. และ ก. สามีภรรยาเป็นเจ้าของร่วมกัน ก.จึงเป็นผู้เสียหายด้วยผู้หนึ่งมีอำนาจร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีแกจำเลย ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1585/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อ: แยกพิจารณาตามมูลหนี้และประเภทความเสียหาย
ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ขาดประโยชน์ที่เอารถไปให้ผู้อื่นเช่าไม่ได้มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 ส่วนค่าเสียหายจากการที่จำเลยใช้รถชำรุดบุบสลายมีอายุความ 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 563 จะนำอายุความตามมาตรา 164 ซึ่งเป็นบททั่วไปมาใช้บังคับไม่ได้ แม้จำเลยยกอายุความตามมาตรา 165 มีกำหนด 2 ปีขึ้นต่อสู้ แต่ในคดีแพ่งเพียงจำเลยยกอายุความขึ้นตัดฟ้อง การจะปรับบทมาตราใด เป็นหน้าที่ของศาลจะยกขึ้นปรับแก่คดี
โจทก์มีรถไว้ให้เช่า การที่รถอยู่ในความครอบครองของจำเลยตลอดเวลาที่จำเลยผิดนัด โจทก์ใช้ประโยชน์ในทรัพย์นั้นไม่ได้ ยิ่งเห็นอยู่ในตัวว่าโจทก์ย่อมเสียหายขาดประโยชน์ที่จะพึงได้จากการให้เช่าทรัพย์นั้น มิใช่ความเสียหายพิเศษซึ่งจำเลยไม่อาจคาดเห็นล่วงหน้าจำเลยจึงต้องรับผิดในค่าเสียหายนั้น
โจทก์มีรถไว้ให้เช่า การที่รถอยู่ในความครอบครองของจำเลยตลอดเวลาที่จำเลยผิดนัด โจทก์ใช้ประโยชน์ในทรัพย์นั้นไม่ได้ ยิ่งเห็นอยู่ในตัวว่าโจทก์ย่อมเสียหายขาดประโยชน์ที่จะพึงได้จากการให้เช่าทรัพย์นั้น มิใช่ความเสียหายพิเศษซึ่งจำเลยไม่อาจคาดเห็นล่วงหน้าจำเลยจึงต้องรับผิดในค่าเสียหายนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการใช้น้ำลำเหมือง การใช้สิทธิโดยก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น
ลำเหมืองพิพาทผ่านที่นาของจำเลยไปสู่ที่นาของโจทก์โจทก์ใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาทในการทำนามาเป็นเวลา 10 ปีเศษแล้วจำเลยก็ยอมรับว่าโจทก์ได้ใช้น้ำในลำเหมืองที่ผ่านที่นาของจำเลยเพราะตามปกติน้ำฝนมีไม่พอในการทำนา แสดงว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าถ้าจำเลยกลบลำเหมืองในที่นาของจำเลยเสีย ผลเสียหายย่อมเกิดขึ้นแก่การทำนาของโจทก์อย่างแน่นอน ฉะนั้น การที่จำเลยกลบลำเหมืองพิพาทตอนที่ผ่านที่นาจำเลย เพื่อมิให้โจทก์ได้ใช้น้ำในลำเหมืองนั้นในการทำนาต่อไป จึงเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยเปิดลำเหมืองพิพาทเพื่อ โจทก์จะได้ใช้น้ำจากลำเหมืองในการทำนาตามสภาพเดิมต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับขนส่งต้องรับผิดต่อความเสียหายจากการพลิกคว่ำของรถ แม้ไม่ใช่จากความเร็ว แต่เกิดจากความบกพร่องในการตรวจสภาพรถ
โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า เหตุที่รถพลิกคว่ำเพราะลูกหมากคันส่งหลุดโดยคนขับไม่ได้ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ แล้วท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวว่า จำเลยจะต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ปรากฏฟ้องของโจทก์บรรยายว่านายอิ้วจือได้ขับรถยนต์ของจำเลยจากตลาดหญ้าคาไปตลาดดงเค็งเพื่อรับส่งสินค้าและคนโดยสารตามทางการที่จำเลยจ้าง โดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังขับรถเร็วสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ทำให้รถยนต์ที่ขับพลิกคว่ำ โจทก์ซึ่งเป็นผู้โดยสารตกลงจากรถได้รับบาดเจ็บ จึงขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์ประสงค์ให้จำเลยรับผิดฐานเป็นผู้รับขนส่งคนโดยสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 608 จำเลยมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยมิใช่ผู้รับขนส่งคนโดยสารดังโจทก์ฟ้อง ฉะนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดต่อความเสียหายอันเกิดแก่โจทก์ซึ่งเป็นคนโดยสาร เว้นแต่การเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดแต่ความผิดของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 634 แม้คู่ความจะแถลงรับกันว่ารถพลิกคว่ำเพราะลูกหมากคันส่งหลุดอันไม่ใช่เพราะขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นจากความรับผิดในฐานเป็นผู้รับขนส่งคนโดยสารไปได้ จำเลยจะอ้างว่าทางพิจารณาต่างกับฟ้องโดยขอให้ศาลยกฟ้องหาได้ไม่
การที่รถพลิกคว่ำเพราะลูกหมากคันส่งหลุด ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 เพราะยังอยู่ในวิสัยที่ผู้ขับจะสามารถป้องกันได้ หากใช้ความระมัดระวังตามสมควรตรวจดูสภาพรถให้เรียบร้อยดีก่อนนำออกขับ
การที่รถพลิกคว่ำเพราะลูกหมากคันส่งหลุด ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 เพราะยังอยู่ในวิสัยที่ผู้ขับจะสามารถป้องกันได้ หากใช้ความระมัดระวังตามสมควรตรวจดูสภาพรถให้เรียบร้อยดีก่อนนำออกขับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความและยึดทรัพย์โดยสุจริต ไม่ถือเป็นการละเมิด แม้จำเลยจะอ้างว่าได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว
โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้นำรถยนต์ของจำเลยไปทำการชักลากบรรทุกไม้ของโจทก์จำเลยได้รับเครื่องอะไหล่รถยนต์และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ จากโจทก์ และจากบุคคลอื่นซึ่งโจทก์รับชำระราคาแทน และยังได้รับเงินสดจากโจทก์อีกด้วย โดยตกลงให้คิดหักกับสินจ้างที่จำเลยจะได้รับระหว่างอายุสัญญา มีฝนตกชุกจนจำเลยไม่สามารถนำรถยนต์ออกทำการชักลากไม้ได้ตามปกติ จำเลยจึงนำรถยนต์เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมก่อนโจทก์ได้ไปแจ้งความกล่าวหาว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์แล้วพนักงานสอบสวนควบคุมตัวจำเลยและกักรถยนต์ของจำเลยไว้ ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ และขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยึดรถยนต์ของจำเลยไว้ก่อนมีคำพิพากษาโดยไม่ได้ความว่าโจทก์กลั่นแกล้งจำเลย การที่โจทก์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนนั้น กรณีมีเค้ามูลและเหตุผลที่จะทำให้โจทก์เข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยทำผิดตามข้อความที่ไปแจ้งความไว้ เพราะเป็นกรณีอยู่ในระหว่างที่จำเลยปฏิบัติตามสัญญายังไม่แล้วเสร็จ ก็นำรถยนต์และสิ่งของไปเสีย ดังนี้ จะถือว่าโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยหาได้ไม่ การที่พนักงานสอบสวนปฏิบัติการควบคุมตัวจำเลยและกักรถยนต์ของจำเลยไว้ ก็เป็นเรื่องอยู่ในอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของพนักงานสอบสวนโดยเฉพาะ ส่วนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำการยึดรถยนต์ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษานั้น ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิทางศาล โดยมีเหตุผลในการขอให้คุ้มครองสิทธิของโจทก์ จำเลยมิได้พิสูจน์ให้ปรากฏว่าศาลได้สั่งการเช่นนั้นโดยศาลมีความเห็นหลงไปโดยความผิดหรือเลินเล่อของโจทก์.ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 263 โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประกันภัยค้ำจุน: ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดหากผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดในความเสียหาย
ผู้รับประกันภัยค้ำจุน จะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบสำหรับวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้น
ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 เจ้าของรถยนต์ได้ประกันภัยค้ำจุนไว้กับบริษัทจำเลยที่ 2 ในระหว่าง อายุสัญญาประกันภัยจำเลยที่ 1 ได้ให้ ส. เช่าซื้อรถยนต์นั้นไปแล้ว พ.ลูกจ้างของ ส.ได้ขับรถยนต์คันนั้นไปชนกับรถยนต์ของผู้อื่น ดังนี้ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งละเมิดที่ พ.ก่อให้เกิดขึ้น เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีดังกล่าว จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเช่นกัน
ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 เจ้าของรถยนต์ได้ประกันภัยค้ำจุนไว้กับบริษัทจำเลยที่ 2 ในระหว่าง อายุสัญญาประกันภัยจำเลยที่ 1 ได้ให้ ส. เช่าซื้อรถยนต์นั้นไปแล้ว พ.ลูกจ้างของ ส.ได้ขับรถยนต์คันนั้นไปชนกับรถยนต์ของผู้อื่น ดังนี้ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งละเมิดที่ พ.ก่อให้เกิดขึ้น เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีดังกล่าว จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงลายมือชื่อแทนกันในสัญญา แม้ได้รับมอบอำนาจก็เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร แต่ต้องพิเคราะห์ความเสียหายที่เกิดขึ้น
ลายมือชื่อนั้นไม่มีกฎหมายให้เซ็นแทนกันได้ แม้จะมอบอำนาจก็เซ็นแทนไม่ได้ จำเลยเซ็นชื่อสามีจำเลยลงในสัญญามัดจำซื้อขายที่ดินจึงเป็นการลงลายมือชื่อปลอม แต่ความผิดฐานปลอมเอกสารนั้นจะต้องมีลักษณะที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนด้วย เมื่อผู้เสียหายรู้จักชื่อและตัวสามีจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินตลอดจนจำเลยซึ่งเป็นภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ยังได้สมัครใจเข้าทำสัญญากับจำเลยและรู้เห็นว่าจำเลยได้ลงชื่อสามีจำเลยในช่องผู้ให้สัญญาตอนทำสัญญานั้น จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าผู้เสียหายมิได้หลงผิดหรือหลงเชื่อ จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะอ้างว่าได้รับความเสียหายตามกฎหมายสามีจำเลยก็ไม่เสียหายเพราะเป็นผู้มอบอำนาจให้จำเลยไว้ จำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงลายมือชื่อแทนกันโดยไม่ได้รับมอบอำนาจไม่ถือเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร หากผู้เสียหายทราบข้อเท็จจริงและยินยอม
ลายมือชื่อนั้นไม่มีกฎหมายให้เซ็นแทนกันได้ แม้จะมอบอำนาจก็เซ็นแทนไม่ได้ จำเลยเซ็นชื่อสามีจำเลยลงในสัญญามัดจำซื้อขายที่ดินจึงเป็นการลงลายมือชื่อปลอม แต่ความผิดฐานปลอมเอกสารนั้นจะต้องมีลักษณะที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนด้วย เมื่อผู้เสียหายรู้จักชื่อและตัวสามีจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินตลอดจนจำเลยซึ่งเป็นภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ยังได้สมัครใจเข้าทำสัญญากับจำเลยและรู้เห็นว่าจำเลยได้ลงชื่อสามีจำเลยในช่องผู้ให้สัญญาตอนทำสัญญานั้น จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าผู้เสียหายมิได้หลงผิดหรือหลงเชื่อ จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะอ้างว่าได้รับความเสียหายตามกฎหมายสามีจำเลยก็ไม่เสียหายเพราะเป็นผู้มอบอำนาจให้จำเลยไว้ จำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีปลอมแปลงเอกสาร: ความเสียหายที่ต้องพิสูจน์ และขอบเขตการอุทธรณ์
ข้อความในเอกสารซึ่งจำเลยปลอมลายมือชื่อของ จ. ผู้เสียหายน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงโจทก์ฟ้องว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย แม้จำเลยรับสารภาพแต่ศาลเห็นว่าไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ศาลก็พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อ จ. ผู้เสียหายลงในเอกสารคำร้อง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ. ผู้เสียหายและ น.พนักงานเจ้าหน้าที่ศาลแขวงพิพากษาว่า ที่โจทก์อ้างว่าอาจจะเกิดความเสียหายแก่ จ. นั้น โจทก์มิได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใด จึงไม่อาจจะพิเคราะห์ได้. ส่วนที่อ้างว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ น. นั้น ตามคำร้องไม่อาจทำให้ น.เสียหาย พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยข้อที่ว่า ฟ้องที่เกี่ยวกับ จ.นั้นสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายและรับวินิจฉัยข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ.หรือไม่เพราะศาลแขวงยกฟ้องด้วยข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องด้วยข้อเท็จจริง โดยได้วินิจฉัยว่ายังไม่เกิดความเสียหายแก่ จ.โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการเสียหายแก่ จ.ส่วนข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่น.หรือไม่นั้น ศาลแขวงยกฟ้องโดยฟังว่าไม่อาจทำให้น. เสียหาย โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์โต้แย้งแม้โจทก์จะอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนี้
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อ จ. ผู้เสียหายลงในเอกสารคำร้อง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ. ผู้เสียหายและ น.พนักงานเจ้าหน้าที่ศาลแขวงพิพากษาว่า ที่โจทก์อ้างว่าอาจจะเกิดความเสียหายแก่ จ. นั้น โจทก์มิได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใด จึงไม่อาจจะพิเคราะห์ได้. ส่วนที่อ้างว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ น. นั้น ตามคำร้องไม่อาจทำให้ น.เสียหาย พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยข้อที่ว่า ฟ้องที่เกี่ยวกับ จ.นั้นสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายและรับวินิจฉัยข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ.หรือไม่เพราะศาลแขวงยกฟ้องด้วยข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องด้วยข้อเท็จจริง โดยได้วินิจฉัยว่ายังไม่เกิดความเสียหายแก่ จ.โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการเสียหายแก่ จ.ส่วนข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่น.หรือไม่นั้น ศาลแขวงยกฟ้องโดยฟังว่าไม่อาจทำให้น. เสียหาย โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์โต้แย้งแม้โจทก์จะอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีทำเอกสารปลอม: การวินิจฉัยความเสียหายและขอบเขตการอุทธรณ์
ข้อความในเอกสารซึ่งจำเลยปลอมลายมือชื่อของ จ. ผู้เสียหาย น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ฟ้องว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย แม้จำเลยรับสารภาพ แต่ศาลเห็นว่าไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ศาลก็พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อ จ. ผู้เสียหายลงในเอกสารคำร้อง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ. ผู้เสียหาย และ น.พนักงานเจ้าหน้าที่ศาลแขวงพิพากษาว่า ที่โจทก์อ้างว่าอาจจะเกิดความเสียหายแก่ จ. นั้น โจทก์มิได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใด จึงไม่อาจจะพิเคราะห์ได้. ส่วนที่อ้างว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ น. นั้น ตามคำร้องไม่อาจทำให้ น.เสียหาย พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยข้อที่ว่า ฟ้องที่เกี่ยวกับ จ.นั้นสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายและรับวินิจฉัยข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ.หรือไม่เพราะศาลแขวงยกฟ้องด้วยข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องด้วยข้อเท็จจริง โดยได้วินิจฉัยว่ายังไม่เกิดความเสียหายแก่ จ. โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการเสียหายแก่ จ. ส่วนข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่น.หรือไม่นั้น ศาลแขวงยกฟ้อง โดยฟังว่าไม่อาจทำให้น. เสียหาย โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์โต้แย้ง แม้โจทก์จะอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนี้
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อ จ. ผู้เสียหายลงในเอกสารคำร้อง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ. ผู้เสียหาย และ น.พนักงานเจ้าหน้าที่ศาลแขวงพิพากษาว่า ที่โจทก์อ้างว่าอาจจะเกิดความเสียหายแก่ จ. นั้น โจทก์มิได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใด จึงไม่อาจจะพิเคราะห์ได้. ส่วนที่อ้างว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ น. นั้น ตามคำร้องไม่อาจทำให้ น.เสียหาย พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยข้อที่ว่า ฟ้องที่เกี่ยวกับ จ.นั้นสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายและรับวินิจฉัยข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ.หรือไม่เพราะศาลแขวงยกฟ้องด้วยข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องด้วยข้อเท็จจริง โดยได้วินิจฉัยว่ายังไม่เกิดความเสียหายแก่ จ. โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการเสียหายแก่ จ. ส่วนข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่น.หรือไม่นั้น ศาลแขวงยกฟ้อง โดยฟังว่าไม่อาจทำให้น. เสียหาย โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์โต้แย้ง แม้โจทก์จะอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนี้