พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีอาญาที่มีอัตราโทษจำกัดตามกฎหมาย
เฉพาะข้อหาความผิดตาม ป.อ.มาตรา 371 ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนั้น อัตราโทษอย่างสูงที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมดรวมถึงอุทธรณ์ดุลพินิจในการกำหนดโทษซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับข้อหาความผิดตามมาตรา 371 ด้วย โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในอุทธรณ์ว่ามีเหตุอันควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยตามที่ ป.วิ.อ.มาตรา193 ตรี บัญญัติไว้ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดดังกล่าว ความผิดในข้อหาดังกล่าวย่อมยุติเพียงศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 หาได้ไม่ เพราะมิใช่กรณีฎีกาของจำเลยต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 218, 219 และ 220 การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาทั้งหมดจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3226/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นที่มิได้อุทธรณ์ และขอบเขตคำขอของคู่ความ
ผู้คัดค้านมิได้อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่าสมควรเพิกถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่ ประเด็นนี้จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและถึงที่สุดไปแล้ว จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ผู้คัดค้านเพียงแต่ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเท่านั้น หาได้ขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายไม่ ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้เพราะเกินคำขอต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
ผู้คัดค้านเพียงแต่ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเท่านั้น หาได้ขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายไม่ ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้เพราะเกินคำขอต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3226/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนและแต่งตั้งผู้จัดการมรดก: ประเด็นยุติจากการไม่โต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ และการขอเกินคำ
ผู้คัดค้านมิได้อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่าสมควรเพิกถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่ประเด็นนี้จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและถึงที่สุดไปแล้วจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง ผู้คัดค้านเพียงแต่ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเท่านั้นหาได้ขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายไม่ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้เพราะเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3226/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนและแต่งตั้งผู้จัดการมรดก: ข้อจำกัดในการฎีกาประเด็นที่ไม่ได้อุทธรณ์ และการขอสิ่งที่ไม่เคยขอ
ผู้คัดค้านมิได้อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่าสมควรเพิกถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่ประเด็นนี้จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและถึงที่สุดไปแล้วจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง ผู้คัดค้านเพียงแต่ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเท่านั้นหาได้ขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายไม่ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตั้งให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้เพราะเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3224/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอย่างคนอนาถา: ศาลรับอุทธรณ์ในส่วนที่ได้รับอนุญาตค่าธรรมเนียม
โจทก์ขอดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมให้เฉพาะค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์100,000บาทหากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีในทุนทรัพย์ที่มากกว่านี้ก็ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลภายใน10วันโจทก์มิได้นำเงินค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ที่เกินกว่าที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถามาชำระแต่ได้มีการขอให้พิจารณาใหม่เพื่อให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาสืบว่าโจทก์เป็นคนยากจนในจำนวนทุนทรัพย์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาอีกจำนวน300,000บาทศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระตามที่ศาลมีคำสั่งภายใน15วันหากเพิกเฉยถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์ต่อไปเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวโจทก์มิได้นำเงินค่าขึ้นศาลตามที่ศาลสั่งมาชำระการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่ชำระค่าขึ้นศาลตามที่ศาลได้ไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์จึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์นั้นจึงหมายถึงค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ที่โจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3146/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการแก้ไขโทษในชั้นอุทธรณ์-ฎีกา กรณีจำเลยต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยมีหรือใช้อาวุธปืนการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138วรรคสอง, 140 วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยไม่ได้ระบุมาตราและวรรค โจทก์มิได้อุทธรณ์ในความผิดข้อหานี้ ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็ไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ แต่ปรับบทลงโทษจำเลยในข้อหานี้ใหม่ให้ถูกต้องได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยไม่ได้ระบุมาตราและวรรค โจทก์มิได้อุทธรณ์ในความผิดข้อหานี้ ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็ไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ แต่ปรับบทลงโทษจำเลยในข้อหานี้ใหม่ให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 310/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมเพื่อขออุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ แม้ไม่ตรงตามมาตรา 234 แต่แสดงเจตนาดี จึงรับอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลหรือนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันไว้ต่อศาลภายใน15วันอันเป็นการให้จำเลยเลือกปฏิบัติทางใดทางหนึ่งซึ่งแม้จะไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา234เมื่อจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นโดยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางภายในกำหนดจึงมีเหตุน่าเชื่อว่าจำเลยไม่มีเจตนาฝ่าฝืนไม่นำเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3067/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำเลยไม่ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นต้น ไม่อุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
ข้อที่จำเลยร่วมยกขึ้นฎีกาเป็นข้อที่จำเลยร่วมมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ย่อมยกขึ้นอุทธรณ์ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว และเมื่อฎีกาของจำเลยร่วมดังกล่าวเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ดุลพินิจศาลแรงงานเกี่ยวกับความทุจริตต่อหน้าที่และการจ่ายค่าชดเชย
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำโดยทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ศาลแรงงานนำผลคำพิพากษาแห่งคดีอาญาซึ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรมาขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ทุจริตต่อหน้าที่เพราะจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาดังกล่าวไม่มีพยานหลักฐานอันจะฟังได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่จำเลยไม่อาจเห็นพ้องด้วย การที่โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ในการขับรถและดูแลรักษารวมถึงการตรวจตราเครื่องยนต์ประจำรถยนต์คันเกิดเหตุ จึงต้องมีวิสัยในการดูแลรถยนต์คันที่ตนเองรับผิดชอบให้เรียบร้อยปราศจากสิ่งของอื่นใดซึ่งไม่เคยมีมาก่อน พฤติการณ์ที่จำเลยไม่ดูแลรถยนต์คันที่ตนเองรับผิดชอบดังกล่าวถือได้แล้วว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้นเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3027/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ต้องยกเหตุข้อกล่าวหาใหม่ที่ไม่เคยถูกยกขึ้นในศาลแรงงานถือเป็นข้อห้ามตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเท่าใดกำหนดจ่ายค่าจ้างเมื่อใด สหภาพแรงงานแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเมื่อใด รวมทั้งวันที่จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้ขออนุญาตต่อศาลแรงงาน ซึ่งไม่เป็นการเลิกจ้างตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าวและรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม พร้อมทั้งจ่ายค่าจ้างและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว โดยไม่จำต้องบรรยายว่า กรรมการลูกจ้างที่สหภาพแรงงานแต่งตั้งมีจำนวนกี่คน เป็นบุคคลใดบ้าง และตำแหน่งกรรมการลูกจ้างที่ว่างลง 2 คน นั้นคือใคร ตำแหน่งว่างเพราะเหตุใด สหภาพแรงงานมีจำนวนสมาชิกที่เป็นลูกจ้างจำเลยจำนวนเท่าใด มากพอเท่ากับที่กฎหมายกำหนดไว้ในการที่จะมีอำนาจแต่งตั้งกรรมการลูกจ้างหรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่กรรมการลูกจ้างเพราะสหภาพแรงงานผู้แต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างมีสมาชิกไม่ถึงจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดให้มีสิทธิในการแต่งตั้งกรรมการลูกจ้างได้ แต่จำเลยกลับอุทธรณ์ว่า การแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเพิ่มแทนตำแหน่งที่ว่างไม่ชอบ เพราะสมาชิกที่สมัครก่อนถึงวันประชุมใหญ่ของสหภาพแรงงานยังไม่มีฐานะเป็นสมาชิกและไม่มีสิทธิแต่งตั้งกรรมการสหภาพแรงงาน กรรมการสหภาพแรงงานที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นกรรมการโดยไม่ชอบ ไม่มีสิทธิแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเพิ่มแทนตำแหน่งที่ว่าง โจทก์จึงเป็นกรรมการลูกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นคนละเหตุกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงาน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบด้วยพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่กรรมการลูกจ้างเพราะสหภาพแรงงานผู้แต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างมีสมาชิกไม่ถึงจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดให้มีสิทธิในการแต่งตั้งกรรมการลูกจ้างได้ แต่จำเลยกลับอุทธรณ์ว่า การแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเพิ่มแทนตำแหน่งที่ว่างไม่ชอบ เพราะสมาชิกที่สมัครก่อนถึงวันประชุมใหญ่ของสหภาพแรงงานยังไม่มีฐานะเป็นสมาชิกและไม่มีสิทธิแต่งตั้งกรรมการสหภาพแรงงาน กรรมการสหภาพแรงงานที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นกรรมการโดยไม่ชอบ ไม่มีสิทธิแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเพิ่มแทนตำแหน่งที่ว่าง โจทก์จึงเป็นกรรมการลูกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นคนละเหตุกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงาน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบด้วยพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย