คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6019/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิเรียกร้องและอำนาจฟ้องของเจ้าหนี้ต่อลูกหนี้เดิม การใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญา
อ. ทำสัญญาโอนสิทธิในการรับเงินค่าจ้างที่จะได้รับจากจำเลยตามสัญญาจ้างให้โจทก์ โดย อ. มีหนังสือบอกกล่าวการโอนไปยังจำเลยและจำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ให้ความยินยอม การโอนหนี้ดังกล่าวจึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306วรรคหนึ่ง และคู่กรณีย่อมเกิดสิทธิและหน้าที่ผูกพันกัน โจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ได้โดยไม่ต้องเรียก อ. ผู้โอนเข้าเป็นคู่ความร่วม และกรณีเช่นนี้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มีสิทธิยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ตามสัญญาจ้างที่มีต่อ อ.ผู้โอนขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้รับโอนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 308 ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนย่อมมีสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ตามสัญญาจ้างของ อ. ผู้โอนขึ้นต่อสู้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ได้เช่นเดียวกัน โจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน อ. ตามเงื่อนไขแห่งสัญญาจ้าง โจทก์จึงมีสิทธิยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ตามสัญญาจ้างที่ อ. มีต่อจำเลยขึ้นต่อสู้จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694 คณะกรรมการตรวจการจ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยและได้ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบการทำงานตามสัญญาจ้าง อ. หยุดงานก็เพราะคณะกรรมการตรวจการจ้างของจำเลยสั่ง และเหตุที่สั่งก็เพราะราษฎรเริ่มทำนา ฝนตกเกิดอุทกภัยให้ระงับการก่อสร้างไว้จนกว่าชาวนาจะเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ และต่อมาได้แจ้งให้ อ. เข้าดำเนินการก่อสร้างต่อไปแล้ว ดังนั้นการหยุดงานดังกล่าวจึงไม่ใช่ความผิดของ อ. ทั้งจำเลยเองก็ได้เสนอความเห็นว่าควรต่ออายุสัญญาให้แก่ อ. และขออนุมัติต่อสัญญาไปยังปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฉะนั้นจำเลยจะอ้างว่า อ. เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้ ปัญหาว่าคณะกรรมการตรวจการจ้างมีคำสั่งไม่ชอบด้วยระเบียบของทางราชการก็ดี เมื่อสั่งให้หยุดงานแล้วไม่รายงานให้จำเลยทราบก็ดี เป็นเรื่องระหว่างคณะกรรมการตรวจการจ้างกับจำเลย จะยกขึ้นยัน อ. เจ้าหนี้หรือโจทก์ผู้รับโอนหนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5859/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมรสซ้อนเป็นโมฆะ และอำนาจฟ้องคดีเกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดก
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายของ ส. กับ บ. จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียคดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเพราะส. ถึงแก่กรรมไปแล้วเป็นเหตุให้การสมรสสิ้นสุดลงตามที่จำเลยฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ การที่จำเลยขออายัดที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2โดยอ้างว่าเป็นของ ส. เป็นการโต้แย้งสิทธิในทรัพย์มรดกของส. ซึ่งเป็นบิดาโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ส.จดทะเบียนสมรสกับบ.อยู่แล้วต่อมาส. จดทะเบียนสมรสกับจำเลยอีกโดยมิได้หย่าขาดจาก บ. การจดทะเบียนสมรสระหว่างส. กับจำเลยจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1496 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นแม้จำเลยจะอ้างว่าจดทะเบียนสมรสโดยสุจริตก็หาเป็นเหตุให้การสมรสที่เป็นโมฆะเสียเปล่ากลับสมบูรณ์ขึ้นมาแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5836/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, การฟ้องขับไล่เจ้าของกรรมสิทธิ์รวม, อุทธรณ์ไม่ชัดเจน, หนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ไม่ครบ
แม้ศาลชั้นต้นจะชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งหมายรวมถึงเรื่องหนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนหรือไม่ด้วย แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาโดยมิได้หยิบยกปัญหาเรื่องหนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนหรือไม่ขึ้นวินิจฉัย และจำเลยก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาดังกล่าวการที่จำเลยฎีกาปัญหานี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นไม่สมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้ย่อมไม่ยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ได้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งในที่ดินพิพาทฟ้องขับไล่จำเลยเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์เพื่อต่อสู้กับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359ส่วนกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 302 นั้นหมายความว่าเมื่อโจทก์ได้ทรัพย์สินคืนมาแล้วต้องเป็นของเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมร่วมกัน โจทก์จะอ้างเอาเป็นของตนแต่ผู้เดียวไม่ได้เท่านั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย จำเลยอุทธรณ์แต่เพียงว่า โจทก์ไม่เสียหาย อุทธรณ์ของจำเลยมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายไม่ชอบอย่างไร และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งจึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าไม่เป็นประเด็นที่จะวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5762/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญาและการพิจารณาโทษจากพฤติการณ์ร้ายแรง
ข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 และ 297 ที่พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยนั้น มิใช่เป็นความผิดต่อส่วนตัว ดังนั้น การที่ถ.และ อ. จะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายหรือไม่ หามีผลต่ออำนาจฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ไม่ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกกระทำแก่ ถ.และ อ.เป็นการกระทำที่รุนแรง มีการใช้ไม้ท่อนและขวดเป็นอาวุธ ร่วมกระทำความผิดด้วยกันหลายคนโดยที่ฝ่ายผู้เสียหายทั้งสองมิได้เป็นฝ่ายก่อเหตุก่อนและผลแห่งการถูกทำร้ายร่างกายครั้งนั้น ถ.ได้รับอันตรายสาหัสถึงกับเลือดคั่งใต้กะโหลกศีรษะ สมองช้ำ เดินไม่ได้ตามปกติ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บรรเทาผลร้ายแห่งคดีแต่อย่างใดเลย จึงไม่มีเหตุอันควรปรานีด้วยการรอการลงโทษให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5762/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดต่อส่วนตัวไม่กระทบอำนาจฟ้องคดีทำร้ายร่างกาย และเหตุไม่ควรปรานีในการรอการลงโทษ
ข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และ 297ที่พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยนั้น มิใช่เป็นความผิดต่อส่วนตัว ดังนั้น การที่ ถ.และอ. จะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายหรือไม่ หามีผลต่ออำนาจฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ไม่ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ พฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกกระทำแก่ ถ.และอ. เป็นการกระทำที่รุนแรง มีการใช้ไม้ท่อนและขวดเป็นอาวุธ ร่วมกระทำความผิดด้วยกันหลายคนโดยที่ฝ่ายผู้เสียหายทั้งสองมิได้เป็นฝ่ายก่อเหตุก่อนและผลแห่งการถูกทำร้ายร่างกายครั้งนั้น ถ. ได้รับอันตรายสาหัสถึงกับเลือดคั่งใต้กะโหลกศีรษะ สมองช้ำ เดินไม่ได้ตามปกติทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บรรเทาผลร้ายแห่งคดีแต่อย่างใดเลยจึงไม่มีเหตุอันควรปรานีด้วยการรอการลงโทษให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5667/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีขับไล่ผู้เช่าที่มีค่าเช่าไม่เกิน 2,000 บาท และอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทตามสัญญาเช่าซึ่งกำหนดไว้โดยชัดแจ้งแล้ว ค่าเช่าเดือนละ 350 บาทแม้โจทก์จะเรียกค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท ภายหลังบอกเลิกสัญญามาด้วยทั้งก่อนฟ้องและหลังฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบและออกไปจากตึกพิพาท ค่าเสียหายดังกล่าวมิใช่ค่าเช่า จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ2,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224(เดิม)ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยยื่นอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5621/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ในที่ป่าสงวน: อำนาจฟ้องและการยกอายุความ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ที่พิพาทจะเป็นป่าสงวนแห่งชาติแต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันย่อมใช้ยันกันได้ หากฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว จำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครอง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ไม่มีผู้ใดใช้ประโยชน์บนที่ดิน การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีภายหลังจากที่จำเลยซื้อสิทธิในที่พิพาทจาก ป. รวมเวลาที่ ป. และจำเลยครอบครองเกินกว่าหนึ่งปี คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้อง เป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหน อย่างไร เป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5515/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องซื้อขายที่ดิน แม้ไม่มีลายมือชื่อผู้ขายโดยตรง
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท และโจทก์ได้ชำระราคาบางส่วนแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 456 วรรคสอง และแม้ว่าจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาการซื้อขายที่ดินพิพาท โดย ค.ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาแทนจำเลยไป ไม่ว่าจะมีการมอบอำนาจเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือหรรือไม่ก็ตามก็ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจฟ้องของโจทก์
ที่จำเลยขอให้เรียกบัญชีเงินฝากของโจทก์จากธนาคารมาตรวจสอบประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น เมื่อคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะเรียกเอกสารดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5515/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องบังคับคดีซื้อขายแม้จำเลยไมลงลายมือชื่อ-การชำระหนี้บางส่วนเพียงพอ
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท และโจทก์ได้ชำระราคาบางส่วนแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสอง และแม้ว่าจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อใน หนังสือสัญญาการซื้อขายที่ดินพิพาท โดย ค. ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาแทนจำเลยไป ไม่ว่าจะมีการมอบอำนาจเป็นหนังสือหรือ มีหลักฐานเป็นหนังสือหรือไม่ก็ตามก็ไม่กระทบกระเทือนถึง อำนาจฟ้องของโจทก์ ที่จำเลยขอให้เรียกบัญชีเงินฝากของโจทก์จากธนาคารมา ตรวจสอบประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น เมื่อคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะเรียกเอกสารดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5480/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง – ที่ดินใช้ประโยชน์ร่วมกัน – การยึดขายทอดตลาด
โจทก์ฟ้องกรมสรรพากรเป็นจำเลย เนื่องจากจำเลยนำยึดที่ดินออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินไปชำระค่าภาษีอากรที่ ช. ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของรวมในที่ดินค้างชำระแก่จำเลย แต่ที่ดินเป็นถนนที่โจทก์และประชาชนทั่วไปใช้ประโยชน์ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะมาแต่เดิม ดังนั้น ตราบใดที่จำเลยยังไม่ได้ปิดกั้นถนน โจทก์และประชาชนทั่วไปก็คงใช้ถนนได้ตามปกติ ยังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
of 452