คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3027/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม - กรรมการลูกจ้าง - อุทธรณ์นอกประเด็น - ห้ามอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเท่าใดกำหนดจ่ายค่าจ้างเมื่อใดสหภาพแรงงานแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเมื่อใดรวมทั้งวันที่จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้ขออนุญาตต่อศาลแรงงานซึ่งไม่เป็นการเลิกจ้างตามกฎหมายขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าวและรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิมพร้อมทั้งจ่ายค่าจ้างและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ถือได้ว่าเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วโดยไม่จำต้องบรรยายว่ากรรมการลูกจ้างที่สหภาพแรงงานแต่งตั้งมีจำนวนกี่คนเป็นบุคคลใดบ้างและตำแหน่งกรรมการลูกจ้างที่ว่างลง2คนนั้นคือใครตำแหน่งว่างเพราะเหตุใดสหภาพแรงงานมีจำนวนสมาชิกที่เป็นลูกจ้างจำเลยจำนวนเท่าใดมากพอเท่ากับที่กฎหมายกำหนดไว้ในการที่จะมีอำนาจแต่งตั้งกรรมการลูกจ้างหรือไม่เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่กรรมการลูกจ้างเพราะสหภาพแรงงานผู้แต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างมีสมาชิกไม่ถึงจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดให้มีสิทธิในการแต่งตั้งกรรมการลูกจ้างได้แต่จำเลยกลับอุทธรณ์ว่าการแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเพิ่มแทนตำแหน่งที่ว่างไม่ชอบเพราะสมาชิกที่สมัครก่อนถึงวันประชุมใหญ่ของสหภาพแรงงานยังไม่มีฐานะเป็นสมาชิกและไม่มีสิทธิแต่งตั้งกรรมการสหภาพแรงงานกรรมการสหภาพแรงงานที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นกรรมการโดยไม่ชอบไม่มีสิทธิแต่งตั้งโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเพิ่มแทนตำแหน่งที่ว่างโจทก์จึงเป็นกรรมการลูกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นคนละเหตุกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2897/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าที่มีใบจอง (น.ส.2) และข้อจำกัดการอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดิน จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทมีใบจอง (น.ส.2) เป็นชื่อของ ล. จำเลยครอบครองมา ถือว่าจำเลยไม่ได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่เพียง 3 งาน หากให้เช่าน่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละสี่พันบาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ที่ดินพิพาทมีหลักฐานใบจองจึงโอนกันไม่ได้ ตาม พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 10 แต่ที่ดิน-พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าจึงโอนสิทธิครอบครองแก่กันได้โดยการส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ และถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาอีก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2896/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีขับไล่และการขาดอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทที่เช่าและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยให้การว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้ ม.ไปแล้ว โจทก์หลอกลวงให้ ม.กับจำเลยลงชื่อในสัญญาเช่าโดยไม่บรรยายว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย กรณีจึงมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย หากแต่เป็นของบุคคลอื่น โจทก์จำเลยจึงมิได้พิพาทกันในกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทในขณะยื่นคำฟ้องมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของ ม. ภรรยาจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยกับภรรยาครอบครองยังไม่ครบ 10 ปี แม้จะครอบครองเกินกว่า 10 ปี ก็ครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามป.วิ.พ. มาตรา 224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2896/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามมาตรา 224 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง คดีขับไล่และกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทที่เช่าและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจำเลยให้การว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้ม.ไปแล้วโจทก์หลอกลวงให้ม.กับจำเลยลงชื่อในสัญญาเช่าโดยไม่บรรยายว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วยกรณีจึงมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหากแต่เป็นของบุคคลอื่นโจทก์จำเลยจึงมิได้พิพาทกันในกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่เป็นคดีมีทุนทรัพย์แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าที่ดินพิพาทในขณะยื่นคำฟ้องมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ4,000บาทศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของม.ภรรยาจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์อุทธรณ์ว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จำเลยกับภรรยาครอบครองยังไม่ครบ10ปีแม้จะครอบครองเกินกว่า10ปีก็ครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์โจทก์มีอำนาจฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2870/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีจราจร: ศาลฎีกาพิจารณาเองได้แม้ไม่มีการอุทธรณ์
ข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา43, 78, 157, 160 วรรคหนึ่ง มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1 เดือนลงมา จึงมีอายุความเพียง 1 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 95 (5) จำเลยกระทำความผิดวันที่ 4 มกราคม 2529 นับถึงวันฟ้องคือวันที่ 8 มิถุนายน 2537 คดีของโจทก์สำหรับความผิดตามมาตราดังกล่าวจึงเป็นอันขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6) ปัญหานี้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2841/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการมรดก: เหตุเพิกถอนผู้จัดการมรดก, การอ้างทายาทเพิ่มเติม, และข้อจำกัดการยกเหตุใหม่ในชั้นอุทธรณ์
ป.พ.พ. มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง (2) กำหนดให้ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้ ในกรณีที่มีเหตุขัดข้องในการจัดการหรือในการแบ่งปันมรดก เมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเสร็จสิ้นแล้ว เหตุแห่งการขัดข้องในการจัดการทรัพย์มรดกจึงหมดไปกรณีจึงไม่มีความจำเป็นที่จะตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกอีก
ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่า ผู้ร้องปกปิดความจริงว่า ผู้คัดค้านเป็นทายาทโดยธรรมที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายอีกคนหนึ่ง และยังมีทรัพย์มรดกอื่นที่ผู้ร้องมิได้ระบุมาในคำร้อง เมื่อผู้คัดค้านมิได้มีข้อเท็จจริงอื่นมาประกอบเพื่อให้รับฟังโดยชัดแจ้งว่า ผู้ร้องมีเจตนาปกปิดทรัพย์มรดกและทายาท อันเป็นเหตุอย่างอื่นที่ทำให้ผู้ร้องไม่ควรเป็นผู้จัดการมรดกต่อไป ทั้งคำร้องของผู้คัดค้านก็ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นปรากฏชัดแจ้งว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกไม่สามารถหรือละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ อันจะเป็นเหตุให้สมควรสั่งเพิกถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดก กรณีจึงยังไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนมิให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ.มาตรา 1727
ข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างไว้ในคำร้องคัดค้านมาแต่แรก เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็ยังถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก
การที่ผู้คัดค้านขอให้ศาลสั่งแสดงว่า ผู้คัดค้านเป็นบุตรบุญธรรมย่อมเป็นทายาทโดยธรรมที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย นอกจากมิได้มีกฎหมายบัญญัติรองรับให้ผู้คัดค้านใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ในกรณีเช่นนี้แล้ว กรณีก็มิใช่ความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาล เพราะหากผู้คัดค้านเป็นบุตรบุญธรรมและทายาทโดยธรรมที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายจริง ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะเช่นนั้นอยู่แล้ว หากมีผู้ใดโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านมิใช่บุตรบุญธรรมและทายาทที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิฟ้องเป็นคดีมีข้อพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง, อุทธรณ์ที่ไม่ชอบ, และการใช้กฎหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี
คดีนี้จำเลยฎีกาทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย สำหรับฎีกาในข้อเท็จจริงมีทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง อีกทั้งผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมิได้รับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ ดังนั้น ศาลฎีกาแม้ผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง คดีก็ไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวกันแล้วในศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วย มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า อุทธรณ์ของจำเลยได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิใช่บุตรของ ห. เพราะโจทก์ไม่มีเอกสารหลักฐานใดมาแสดงศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงเป็นการมิชอบนั้นเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้ง แต่อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพราะเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานคดี จึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องมีเอกสารมาแสดงโดยจำเลยยกเอา ป.พ.พ.มาตรา 1555 ว่าด้วยการฟ้องคดีขอให้รับรองบุตรมาอ้างนั้น เห็นว่า คดีนี้มิใช่เป็นคดีฟ้องขอให้รับรองบุตรจึงนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้ และที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิใช่ผู้จัดการมรดกของ ห. นั้น จำเลยมิได้ให้การไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีมรดก: ทุนทรัพย์, การรับรอง, และประเด็นข้อเท็จจริงที่ยังมิได้ว่ากล่าว
จำเลยฎีกาทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายสำหรับฎีกาในข้อเท็จจริงมีทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน50,000บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา224วรรคหนึ่งอีกทั้งผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมิได้รับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ดังนั้นแม้ผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงคดีก็ไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าอุทธรณ์ของจำเลยได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิใช่บุตรของห.เพราะโจทก์ไม่มีเอกสารหลักฐานใดมาแสดงศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงเป็นการมิชอบนั้นเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งแต่อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพราะเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลคดีจึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ ที่จำเลยฎีกาว่าการอ้างว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องมีเอกสารมาแสดงโดยจำเลยยกเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1555ว่าด้วยการฟ้องคดีขอให้รับรองบุตรมาอ้างนั้นเห็นว่าคดีนี้มิใช่เป็นคดีฟ้องขอให้รับรองบุตรจึงนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้และที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิใช่ผู้จัดการมรดกของห. นั้นจำเลยมิได้ให้การไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2829/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทุนทรัพย์พิพาทในชั้นอุทธรณ์ต้องคำนวณจากราคาที่ดินตามที่ฟ้องในชั้นต้น แม้จะมีการถอนฟ้องบางส่วน
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยที่1โอนที่ดินน.ส.3เลขที่359และให้จำเลยที่2โอนที่ดินน.ส.3เลขที่517คืนสู่กองมรดกจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินทั้งสองแปลงระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่1เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้จำเลยที่2โอนที่ดินน.ส.3เลขที่517คืนราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงต้องถือตามราคาที่ดินแปลงนี้เท่านั้นและต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์ในขณะฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นเมื่อมีราคา40,000บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236
ศาลอุทธรณ์ภาค2มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องมีผลเป็นการไม่รับอุทธรณ์ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นจึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา236
of 349