พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4342/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคิดอายุความค่าจ้าง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์เนื่องจากไม่ได้โต้แย้งประเด็นคำพิพากษาเดิม
คู่ความท้ากันให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การคิดอายุความฟ้องเรื่องค่าจ้างต้องคิดอายุความตามความเห็นของโจทก์ หรือของจำเลยที่ 1 ถ้าต้องคิดตามความเห็นของโจทก์จำเลยยอมจ่ายเงินให้แก่โจทก์ ถ้าต้องคิดตามความเห็นของจำเลยที่ 1 ให้พิพากษายกฟ้องศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การคิดอายุความจะต้องคิดตามความเห็นของจำเลยที่ 1 จึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความเนื่องจากการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์อายุความในการฟ้องร้องได้สะดุดหยุดอยู่ ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์หาได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3913/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการเตะกระทืบไม่เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ขณะเกิดเหตุคนที่มาในงานเลี้ยงโกรธผู้ตายที่ยิงปืน จึงต่างคนต่างทำร้ายผู้ตาย โดยจำเลยเพียงเข้าไปเตะและกระทืบผู้ตายซึ่งนั่งอยู่ในครัว มิได้ใช้สิ่งใดเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายผู้ตาย จำเลยได้กระทำไปตามลำพังโดยมิได้ร่วมหรือสมคบกับผู้อื่น ประกอบกับปรากฏจากบาดแผลของผู้ตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพว่า ที่เหนือคิ้วขวามีรอยถูกของแข็งตีเป็นบาดแผลยาว 1 นิ้ว ตรงกลางหน้าผากถูกของแข็งยาว 5 นิ้วเศษ ยุบลึกลงไป 1 นิ้ว ใต้ตาขวาถูกของแข็งตีแตกยาว1 นิ้ว โดยบาดแผลแต่ละแห่งนั้นเกิดจากการถูกตีด้วยความแรงจนกะโหลก ศีรษะยุบและแตกเป็นชิ้น ร่างกายส่วนอื่นไม่มีบาดแผลใด และเหตุ ที่ตายเนื่องจากผู้ตายถูกตีด้วยของแข็งอย่างแรงหลายที เป็นเหตุให้กะโหลกศีรษะแตกและยุบ สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง เชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายทันที ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่าที่ จำเลยเตะ และกระทืบผู้ตายมิได้เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดแผล ดังกล่าว ทั้งร่างกาย ส่วนอื่นนอกจากบาดแผลนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามี บาดแผลหรือรอยฟกช้ำอื่นใด อีกอีก ยังเชื่อไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำผิด กับผู้อื่นโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายการกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงการ ใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 เท่านั้น ความตาย ของผู้ตายมิใช่ผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของจำเลย จำเลยจึงไม่ ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้น การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 386/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์แก้ไข ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเพราะเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยมิได้แก้บทกฎหมายที่จำเลยกระทำความผิด เป็นการแก้ไขเล็กน้อยที่โจทก์ฎีกาว่าควรลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มาตรา 11.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3859/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สัญญาขายลดเช็ค: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการโต้แย้งเฉพาะลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย/สลักหลัง ไม่ถือเป็นการปฏิเสธสัญญาทั้งหมด
ข้อที่ลูกหนี้ฎีกาโต้เถียงว่าสัญญาขายลดเช็คที่บริษัทพ. ทำไว้กับเจ้าหนี้ลูกหนี้ได้ปฏิเสธแล้วนั้น เป็นการฎีกาที่ไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง เพราะในชั้นที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ลูกหนี้ โต้แย้งเพียงว่าผู้สั่งจ่าย และผู้สลักหลังเช็คที่นำมาขายลดแก่ เจ้าหนี้ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท พ. หาได้โต้แย้งหรือปฏิเสธว่าบริษัท พ. ไม่ได้ทำสัญญาขายลดเช็คหรือไม่ได้นำเช็คมาขายลดให้แก่เจ้าหนี้ไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าบริษัท พ. ได้ทำสัญญาขายลดเช็คและได้นำเช็คมาขายลดให้แก่เจ้าหนี้จริงเจ้าหนี้หาจำต้องสืบพยานในข้อนี้ไม่ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็น ยุติแล้วดังกล่าว ข้อที่ลูกหนี้ฎีกาว่าภาระการพิสูจน์เพื่อแสดง ถึงความไม่สมบูรณ์ของสัญญาขายลดเช็คตกอยู่แก่ฝ่ายเจ้าหนี้นั้น จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3722/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลเกี่ยวกับการดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ต้องอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา หากเป็นคำสั่งในชั้นฎีกา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคห้าในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แต่เฉพาะบางส่วนหรือมีคำสั่งให้ยกคำขอเสียทีเดียวถ้าเป็นการขอฟ้องหรือต่อสู้คดีในศาลชั้นต้น ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ได้ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง ถ้าเป็นการขอฟ้องหรือต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี คดีนี้โจทก์ขอฟ้องคดีในชั้นฎีกา เป็นเรื่องอยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลฎีกา และในชั้นแรกศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์โดยเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ โจทก์ยื่นคำร้องอ้างว่าประสบอุบัติเหตุรถยนต์คว่ำมาศาลช้ากว่ากำหนดเพราะเหตุสุดวิสัย ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งและให้ไต่สวนพยานโจทก์ต่อไป เท่ากับโจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของตนใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้องแม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องเช่นนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดว่าให้เป็นที่สุด แต่เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับไม่รับฎีกาของศาลชั้นต้น ซึ่งทำแทนศาลฎีกาเป็นอำนาจของศาลฎีกาโดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคห้า โจทก์จึงชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลฎีกา ที่โจทก์กลับอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยมิชอบ: ศาลฎีกายกคำร้อง เนื่องจากโจทก์มิได้แสดงเหตุผลว่าบ้านมิใช่ของผู้ร้อง
โจทก์มิได้กล่าวมาให้ชัดแจ้งว่าตามข้อเท็จจริงอย่างไรที่แสดงว่าบ้านพิพาทไม่ควรเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพราะเหตุใดจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้งในฎีกาศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้จากพยานหลักฐานว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง แล้วจึงกล่าวถึงปัญหาที่ผู้ร้องขายบ้านพิพาทให้แก่จำเลยตามข้อนำสืบของโจทก์จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยแล้วหรือไม่ตามข้อนำสืบของโจทก์อันเป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3710/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นฟ้องเคลือบคลุมที่ไม่ได้ยกขึ้นในอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ประเด็นข้อนี้แม้จำเลยจะได้เคยยกขึ้นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์แล้วก็ตาม แต่เนื่องจากจำเลยมิได้กล่าวโดยชัดแจ้งในอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมอย่างไร เป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยมาแล้ว ถือได้ว่าประเด็นข้อนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3668/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ไม่เคยอุทธรณ์ แม้ไม่ได้เป็นคู่ความโดยตรง
แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเช็คที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายมาขายแก่โจทก์ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องถึงจำเลยที่ 2 ด้วยได้เพราะเป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247,245(1).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3605/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจฟ้องคดี: ศาลฎีกาให้รับฟังการมอบอำนาจตามเอกสารท้ายฟ้อง แม้ไม่มีอากรแสตมป์ และจำกัดขอบเขตการพิจารณาตามอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าได้มอบอำนาจให้ น. เป็นผู้รับมอบอำนาจและแต่งทนายโจทก์จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจดังกล่าวไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย เรื่องการมอบอำนาจ ไม่มีกรณีต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐานแม้หนังสือมอบอำนาจจะไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ คดี จึงต้องฟังว่า น. เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาเพียงในข้อที่ขอให้ยกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางเท่านั้น มิได้ยกข้อพิพาทในเนื้อหาของคดีขึ้นมาในอุทธรณ์ และมิได้ขอให้พิพากษาตามคำขอของโจทก์ดังที่ฟ้องมาศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อพิพาทในส่วนที่นอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ได้ และกรณีไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งประทับฟ้องเด็ดขาดตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และอำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยปัญหาความสงบเรียบร้อย
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีโจทก์มีมูลเฉพาะจำเลยที่ 2และที่ 5 ให้ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 5ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 170 ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์กลับพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5 ด้วย จึงมิชอบ แม้โจทก์จะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย