พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,226 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างที่ประพฤติชั่วร้ายแรง: การพกพาอาวุธปืนและประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต
ตามระเบียบข้อบังคับของนายจ้าง นายจ้างไล่ลูกจ้างออกจากงานได้หากลูกจ้างประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง การที่ลูกจ้างพกพาอาวุธปืนและนำไปจ่อหน้าอกเด็กชาย ต. ในขณะที่ลูกจ้างมึนเมาสุรา กระสุนปืนลั่นโดยประมาทเป็นเหตุให้เด็กชาย ต.ถึงแก่ความตาย ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้ และลูกจ้างยังถูกลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ อีกกระทงหนึ่งซึ่งศาลได้พิพากษาจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้อีกเช่นเดียวกันกรณีดังกล่าวถือได้ว่าลูกจ้างได้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุที่นายจ้างจะไล่ออกจากงานได้ตามระเบียบดังกล่าวแล้ว การเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม และนายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาและการยกเว้นค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
จำเลยที่1รับโจทก์ที่1เข้าทำงานโดยไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกำหนดว่าไม่ต้องทำสัญญาจ้างที่จำเลยที่1ยอมให้โจทก์ที่1เข้าทำงานไปก่อนโดยมิได้ทำสัญญาจ้างทันทีจะถือว่าจำเลยที่1รับโจทก์ที่1เข้าทำงานเป็นลูกจ้างโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆหาได้ไม่เมื่อโจทก์ที่1ทำงานกับจำเลยที่1ได้1เดือนแล้วก็ได้ทำสัญญาจ้างกันซึ่งมีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนสัญญาจ้างย่อมมีผลผูกพันโจทก์ที่1ถือไม่ได้ว่าการทำสัญญาจ้างดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518มาตรา20เมื่อจำเลยที่1เลิกจ้างโจทก์ที่1ตามกำหนดนั้นจำเลยที่1ได้รับยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทยข้อ46วรรคสามไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1711-1715/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย: การกระทำผิดวินัยต้องตักเตือนก่อนเลิกจ้าง
โจทก์ละทิ้งหน้าที่เข้าไปนั่งคุยและนอนคุยในห้องปรับอากาศเป็นความผิดตามข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน ข้อ 7.5 ที่ว่าต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยัน ไม่เอาเวลาของการทำงานไปคุยทำให้เสียหายแก่นายจ้างและข้อ 7.6 ที่จะต้องไม่หยอกล้อเล่นกันในเวลาทำงาน และไม่หลับนอนในระหว่างการทำงาน แต่ตามข้อบังคับหรือระเบียบดังกล่าวมิได้กำหนดว่าเป็นกรณีร้ายแรงอันจะเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อน จึงจะถือว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีที่ร้ายแรงไม่ได้ กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47 (3) ส่วนจะเป็นความผิดตามข้อบังคับหรือระเบียบ ฯ ข้ออื่นหรือไม่ คำสั่งเลิกจ้างหาได้ระบุความผิดดังกล่าวไว้ไม่ จึงไม่มีประเด็นสำหรับความผิดนั้นและไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากขาดงานซ้ำหลังได้รับการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร สิทธิในการได้รับค่าชดเชย
เอกสารมีข้อความว่า '......เรียนนายบุญมีเนื่องด้วยท่านได้ประพฤติผิดระเบียบของห้างดังนี้......16 ขาดงานบ่อยไม่ตั้งใจทำงาน......ถือว่าเป็นการกระทำผิดระเบียบของห้าง ฯ จึงขอแจ้งให้ท่านทราบไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้เพื่อท่านจะได้แก้ไขปรับปรุงตนเองให้เหมาะสมต่อไป โดยการลงโทษดังนี้เตือนด้วยวาจา......' ท้ายเอกสารนี้โจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับทราบต่อท้ายลายมือชื่อผู้ตักเตือนไว้ เอกสารดังกล่าวมีข้อความที่จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบถึงความผิดที่กระทำ และให้โจทก์แก้ไขปรับปรุงตนเองให้เหมาะสมต่อไป จึงมีลักษณะเป็นการตักเตือนโจทก์ในความผิดนั้นแล้ว หาใช่เป็นเพียงบันทึกการเตือนด้วยวาจาไม่ เมื่อโจทก์ขาดงานเป็นการละทิ้งหน้าที่ซ้ำอีก จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฯ ข้อ 47(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136-146/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับเหมาชั้นต้นต้องรับผิดค่าจ้างลูกจ้างของผู้รับเหมาช่วง แม้จะจ่ายค่าจ้างให้ผู้รับเหมาช่วงแล้ว
การที่จำเลยที่ 2 รับเหมาตกแต่งห้องพักของโรงแรมโดยใช้วัสดุและอุปกรณ์ของจำเลยที่ 2 นั้น เป็นสัญญาจ้างทำของ ต่อมาจำเลยที่ 2 ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ตกแต่งห้องพักก็เป็นกรณีจ้างทำของเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นผู้รับเหมาชั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงตามลำดับ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับเหมาชั้นต้นต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงในฐานะลูกหนี้ร่วมชำระค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง แม้จำเลยที่ 2 ได้จ่ายค่าจ้างให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 มิได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็คงต้องรับผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ข้อ 7
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136-146/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับเหมาชั้นต้นมีหน้าที่รับผิดร่วมกับผู้รับเหมาช่วงในค่าจ้างลูกจ้าง แม้จ่ายค่าจ้างให้ผู้รับเหมาช่วงแล้วก็ตาม
การที่จำเลยที่2รับเหมาตกแต่งห้องพักของโรงแรมโดยใช้วัสดุและอุปกรณ์ของจำเลยที่2นั้นเป็นสัญญาจ้างทำของต่อมาจำเลยที่2ว่าจ้างจำเลยที่1ตกแต่งห้องพักก็เป็นกรณีจ้างทำของเช่นเดียวกันจำเลยที่2และจำเลยที่1ย่อมเป็นผู้รับเหมาชั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงตามลำดับจำเลยที่2ในฐานะผู้รับเหมาชั้นต้นต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่1ซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงในฐานะลูกหนี้ร่วมชำระค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างแม้จำเลยที่2ได้จ่ายค่าจ้างให้จำเลยที่1และจำเลยที่1มิได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตามจำเลยที่2ก็คงต้องรับผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่103ข้อ7.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1277-1278/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างแม้โรงงานเสียหายจากเหตุสุดวิสัย หากไม่ได้เลิกจ้างลูกจ้าง และสิทธิลูกจ้างในการเรียกร้องค่าจ้าง
ค่าจ้างเป็นเงินซึ่งกำหนดขึ้นตามข้อตกลงของสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตราบใดที่การจ้างยังไม่ระงับนายจ้างผูกพันต้องจ่ายค่าจ้างให้ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแม้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจะต้องหยุดกิจการเพราะโรงงานถูกเพลิงไหม้จนไม่สามารถประกอบกิจการต่อไปได้แต่เมื่อจำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างการจ้างจึงยังไม่ระงับและไม่ปรากฏตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกำหนดเป็นข้อยกเว้นไว้ว่าในกรณีเช่นนี้จำเลยมีสิทธิงดจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างจำเลยจึงจะอ้างเหตุที่จำเลยประสบภัยเป็นข้ออ้างเพื่อไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ไม่ได้ โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างสำหรับช่วงระยะเวลาที่จำเลยหยุดกิจการและโจทก์มิได้ทำงานให้แก่จำเลยเป็นการเรียกร้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจึงไม่ถือว่าเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายและเมื่อค่าจ้างกำหนดอัตราแน่นอนและตายตัวศาลจะใช้ดุลพินิจลดอัตราค่าจ้างที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์โดยถือเสมือนหนึ่งเป็นค่าเสียหายหาได้ไม่ คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุคลุมๆแต่เพียงว่าให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยของค่าจ้างแต่ละงวดนับตั้งแต่วันผิดนัดมิได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าค่าจ้างแต่ละงวดเป็นเงินเท่าใดและจำเลยผิดนัดงวดใดตั้งแต่วันใดนั้นไม่ละเอียดชัดแจ้งเพียงพอศาลย่อมพิพากษาตามคำขอของโจทก์ไม่ได้แต่ในวันที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างนั้นค่าจ้างถึงกำหนดจ่ายแล้วการที่จำเลยไม่จ่ายให้แก่โจทก์ตามกำหนดถือว่าจำเลยผิดนัดจำเลยจึงต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่โจทก์ฟ้องคดีเป็นต้นไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนแร่เกินใบอนุญาตและความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง
บริษัท พ. นายจ้างให้จำเลยนำรถยนต์และอุปกรณ์ไปขนแร่ตามใบอนุญาตขนแร่จำนวน 5,090 กิโลกรัม แต่ในระหว่างทางซึ่งเป็นคนละท้องที่กับที่บริษัท พ.ให้จำเลยไปขนแร่ จำเลยได้รับขนแร่ของ ย. อีก 944.8 กิโลกรัม อันเป็นส่วนเกินจากใบอนุญาตขนแร่ของบริษัท พ. และเป็นแร่ที่ไม่มีใบอนุญาตให้ขน ซึ่งเป็นการกระทำโดยพลการของจำเลยเอง และกระทำนอกเหนือจากคำสั่งของบริษัท พ. ผู้เป็นนายจ้างดังนี้ ถือไม่ได้ว่าบริษัท พ. รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดครั้งนี้ด้วย ทั้งจะนำพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 มาปรับเข้ากับกรณีนี้ไม่ได้ แร่ของกลางนอกจากแร่จำนวน 944.8 กิโลกรัมของ ย. ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน จึงไม่ใช่ของกลางอันจะพึงริบตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 บัญญัติห้ามเฉพาะผู้รับใบอนุญาตขนแร่ ขนแร่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตเท่านั้น ซึ่งหมายถึงว่าแร่ส่วนที่เกินจำนวนต้องเป็นแร่ของผู้ได้รับใบอนุญาตหรือเป็นของผู้อื่นที่ผู้รับใบอนุญาตรู้เห็นเป็นใจให้ขน เมื่อคดีฟังได้ว่าบริษัท พ. ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขนแร่ มิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างรับขนแร่จำนวน 944.8 กิโลกรัม ของผู้อื่น จึงจะนำแร่นอกจากจำนวน 944.8 กิโลกรัม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ขนโดยชอบมารวมคำนวณค่าปรับด้วยหาได้ไม่
การที่จำเลยรับขนแร่ไป ทั้งที่รู้ว่าไม่มีใบอนุญาตขนแร่ จำเลยย่อมมีความผิดทั้งมีแร่และขนแร่โดยไม่รับอนุญาต อันเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 บัญญัติห้ามเฉพาะผู้รับใบอนุญาตขนแร่ ขนแร่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตเท่านั้น ซึ่งหมายถึงว่าแร่ส่วนที่เกินจำนวนต้องเป็นแร่ของผู้ได้รับใบอนุญาตหรือเป็นของผู้อื่นที่ผู้รับใบอนุญาตรู้เห็นเป็นใจให้ขน เมื่อคดีฟังได้ว่าบริษัท พ. ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขนแร่ มิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างรับขนแร่จำนวน 944.8 กิโลกรัม ของผู้อื่น จึงจะนำแร่นอกจากจำนวน 944.8 กิโลกรัม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ขนโดยชอบมารวมคำนวณค่าปรับด้วยหาได้ไม่
การที่จำเลยรับขนแร่ไป ทั้งที่รู้ว่าไม่มีใบอนุญาตขนแร่ จำเลยย่อมมีความผิดทั้งมีแร่และขนแร่โดยไม่รับอนุญาต อันเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5042/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าชดเชยลูกจ้าง นายจ้างระงับการจ่ายไม่ได้ แม้มีสอบสวนความรับผิดทางแพ่งค้างอยู่
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทันทีตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 46 การที่จำเลยตั้งกรรมการสอบสวนความรับผิดทางแพ่งของโจทก์กรณีทรัพย์สินของจำเลยเสียหาย และการสอบสวนของคณะกรรมการยังไม่เสร็จสิ้นในขณะที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ซึ่งหากการสอบสวนเสร็จสิ้น และปรากฏว่า โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยแล้ว จำเลยมีสิทธิขอหักกลบลบหนี้ กับโจทก์ได้นั้น เป็นเพียงเหตุซึ่งจำเลยจะใช้สิทธิหักกลบลบหนี้เท่านั้นไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยที่จะระงับการจ่ายค่าชดเชยไว้จำเลย จะอ้างระเบียบข้อบังคับของจำเลยมาเป็นเหตุระงับการจ่ายค่าชดเชย หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5042/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าชดเชยต้องจ่ายทันที แม้มีเหตุสอบสวนความเสียหาย การระงับจ่ายขัดประกาศกระทรวง
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชย แก่โจทก์ทันทีตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 46 การที่จำเลยตั้งกรรมการสอบสวนความรับผิดทางแพ่งของโจทก์กรณีทรัพย์สิน ของจำเลยเสียหาย และการสอบสวนของคณะกรรมการยังไม่เสร็จสิ้นในขณะที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ซึ่งหากการสอบสวนเสร็จสิ้น และปรากฏว่า โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยแล้ว จำเลยมีสิทธิขอหักกลบลบหนี้ กับโจทก์ได้นั้น เป็นเพียงเหตุซึ่งจำเลยจะใช้สิทธิหักกลบลบหนี้เท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยที่จะระงับการจ่ายค่าชดเชยไว้จำเลย จะอ้างระเบียบข้อบังคับของจำเลยมาเป็นเหตุระงับการจ่ายค่าชดเชย หาได้ไม่