คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาฐานหลบหนีการคุมขัง: อำนาจฟ้องของโจทก์และการสอบสวน
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานหลบหนีการคุมขังของพนักงานสอบสวนนั้น โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหานี้และพนักงานสอบสวนมิได้สอบสวนจำเลยทั้งสองในข้อหานี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลล่าง แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างวินิจฉัยอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4907/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนมติคณะกรรมการเช่าที่ดินฯ จำเลยที่ 1 ไม่อยู่ในฐานะถูกฟ้องได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งได้ให้จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 เช่าทำนา ต่อมาโจทก์เรียกค่าเช่านาเพิ่ม โดยได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล แต่โจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าว โจทก์จึงอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัด จำเลยที่ 1แต่จำเลยที่ 1 มีมติยืนตาม จึงขอให้เพิกถอนมติของจำเลยที่ 1 และบังคับให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ชำระค่าเช่านาที่เพิ่ม ดังนี้เมื่อพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 บัญญัติแต่เพียงว่าคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล(คชก.ตำบล) ก็ดี คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัด(คชก. จังหวัด) ก็ดี ประกอบด้วยบุคคลใดบ้าง แต่หาได้มีกฎหมายบัญญัติรับรองให้คณะกรรมการดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคล หรือเป็นบุคคลธรรมดาแต่อย่างใดไม่ จำเลยที่ 1 จึงไม่อยู่ในฐานะที่ถูกฟ้องร้องได้ และปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และการที่จะขอให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ชำระค่าเช่าที่นาเพิ่มได้ก็ต่อเมื่อมีการเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดก่อน เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ชำระค่าเช่านาที่เพิ่มได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4895/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้จัดการมรดก: การโอนทรัพย์มรดกเกินสิทธิโดยไม่ได้รับการยกให้โดยเสน่หา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินและบ้านเป็นมรดกของ ส.ภริยาโจทก์ โจทก์มีสิทธิได้รับ 7 ใน 12 ส่วน นอกนั้นเป็นของทายาทอื่นคือบุตร 5 คน ศาลชั้นต้นสั่งแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ส. โจทก์ได้โอนที่ดินและบ้านดังกล่าวให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทชั้นบุตรคนหนึ่ง แสดงว่าโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกได้โอนทรัพย์มรดกให้แก่จำเลยไปทั้งหมดทั้งที่จำเลยควรจะได้รับเพียง 1 ใน 12 ส่วน โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเลยว่า โจทก์ยกส่วนของโจทก์ให้จำเลยโดยเสน่หาการที่โจทก์ขอให้จำเลยโอนทรัพย์มรดกคืนแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก 11 ใน 12 ส่วน จึงเป็นการเรียกทรัพย์มรดกคืนในฐานะที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดก จะฟ้องถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531 มิได้ โจทก์จึงไม่มีกำหนดฟ้องคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4875/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องถอดถอนผู้จัดการทรัพย์สิน และการแต่งตั้งผู้จัดการทรัพย์สินใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งถอดถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ และแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ต่อไป จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ถอดถอนจำเลย และโจทก์ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทรวม2 ประเด็น คือ สมควรถอดถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือไม่ เป็นประเด็นข้อแรก และสมควรตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือไม่ เป็นประเด็นข้อ 2 ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรและมีคำพิพากษาตั้งโจทก์เข้าร่วมเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ จึงเป็นการวินิจฉัยในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบ และเป็นคำพิพากษาตามคำขอในประเด็นข้อ 2 ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์ของผู้ไม่อยู่ร่วมกับจำเลย เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบ และเป็นการพิพากษาเกินคำขอ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบนั้น เป็นฎีกาเกี่ยวกับคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวนเป็นราคาเงินได้ จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้าย ป.วิ.พ. ตาราง 1 ข้อ 2 (ก)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4857/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีมรดก: สิทธิยังไม่เกิด แม้มีการจัดการมรดกช้า
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ได้ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลชั้นต้นยอมรับว่าโจทก์เป็นทายาทของเจ้ามรดก แต่การจัดการมรดกตามคำสั่งศาลชั้นต้นยังไม่เสร็จสิ้นฉะนั้น ที่โจทก์อ้างในคำฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิรับมรดก ขอให้จำเลยทำบัญชีทรัพย์มรดกและแบ่งปันทรัพย์มรดกจึงยังมิได้มีการโต้แย้งจากจำเลย สิทธินำคดีมาสู่ศาลของโจทก์ยังไม่เกิด ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยจัดการทรัพย์มรดกล่าช้าส่อไปในทางทุจริตไม่จัดการทรัพย์มรดกตามกฎหมาย เป็นข้ออ้างที่โจทก์จะร้องขอต่อศาลชั้นต้นในคดีที่จำเลยขอเป็นผู้จัดการมรดกให้ศาลชั้นต้นเร่งรัดจำเลยให้จัดการมรดกให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว คำฟ้องโจทก์มิใช่คำฟ้องที่ศาลชั้นต้นจะรับประทับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4857/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีจัดการมรดก: สิทธิรับมรดกยังไม่เกิด การจัดการมรดกไม่เสร็จสิ้น ไม่เป็นเหตุฟ้องร้อง
การที่จำเลยให้การยอมรับตามคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์เป็นทายาท แต่การจัดการมรดกตามคำสั่งศาลของจำเลยยังไม่เสร็จสิ้นนั้นข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ที่ว่าโจทก์มีสิทธิรับมรดก ขอให้จำเลยทำบัญชีทรัพย์มรดกและแบ่งปันทรัพย์มรดกตามบัญชีดังกล่าวจึงยังมิได้มีการโต้แย้งจากจำเลย สิทธินำคดีมาสู่ศาลของโจทก์ยังไม่เกิดส่วนข้อกล่าวอ้างตามคำฟ้องที่โจทก์ว่าจำเลยจัดการทรัพย์มรดกล่าช้าส่อไปในทางทุจริต ไม่จัดการทรัพย์มรดกตามกฎหมายก็เป็นเพียงข้ออ้างที่โจทก์จะร้องต่อศาลชั้นต้นในคดีขอเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลย ขอให้ศาลชั้นต้นเร่งรัดจำเลยให้จัดการมรดกให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว มิใช่ข้อโต้แย้งสิทธิโจทก์ที่ก่อให้โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4857/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีแบ่งมรดก: สิทธิยังไม่เกิดหากการจัดการมรดกยังไม่เสร็จสิ้น
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ได้ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลชั้นต้นยอมรับว่าโจทก์เป็นทายาทของเจ้ามรดก แต่การจัดการมรดกตามคำสั่งศาลชั้นต้นยังไม่เสร็จสิ้น ฉะนั้น ที่โจทก์อ้างในคำฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิรับมรดก ขอให้จำเลยทำบัญชีทรัพย์มรดกและแบ่งปันทรัพย์มรดกจึงยังมิได้มีการโต้แย้งจากจำเลย สิทธินำคดีมาสู่ศาลของโจทก์ยังไม่เกิด ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยจัดการทรัพย์มรดกล่าช้าส่อไปในทางทุจริตไม่จัดการทรัพย์มรดกตามกฎหมาย เป็นข้ออ้างที่โจทก์จะร้องขอต่อศาลชั้นต้นในคดีที่จำเลยขอเป็นผู้จัดการมรดกให้ศาลชั้นต้นเร่งรัดจำเลยให้จัดการมรดกให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว คำฟ้องโจทก์มิใช่คำฟ้องที่ศาลชั้นต้นจะรับประทับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4756/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นการฟ้องที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยจากศาลชั้นต้น แม้จำเลยอ้างเหตุไม่มีอำนาจฟ้อง
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้บอกกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนนั้น เมื่อตามฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนว่า จำเลยได้ตัดต้นอ้อยออกจากที่ดินโจทก์ไปขายหมดแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืนที่ดินให้แก่โจทก์ที่จำเลยให้การว่าตามฟ้องระบุว่ายังมีต้นอ้อยอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการบิดเบือนและที่จำเลยอ้างว่าโจทก์บอกกล่าวมิชอบด้วยกฎหมายและไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยก็อาศัยเหตุว่ามีต้นอ้อยอยู่ในที่พิพาทเป็นหลัก เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาท อีกทั้งจำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ จึงถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ทั้งไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระแก่คดีที่ควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4756/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องและการยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้บอกกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนนั้น เมื่อตามฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนว่าจำเลยได้ตัดต้นอ้อยออกจากที่ดินโจทก์ไปขายหมดแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืนที่ดินให้แก่โจทก์ที่จำเลยให้การว่าตามฟ้องระบุว่ายังมีต้นอ้อยอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการบิดเบือนและที่จำเลยอ้างว่าโจทก์บอกกล่าวมิชอบด้วยกฎหมายและไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยก็อาศัยเหตุว่ามีต้นอ้อยอยู่ในที่พิพาทเป็นหลัก เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทอีกทั้งจำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ จึงถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ทั้งไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระแก่คดีที่ควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง ด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้บังคับคดีกับสินสมรส: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหากเจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์ของลูกหนี้
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ได้สมยอมแกล้งเป็นหนี้จำเลยที่ 2 และสมยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ศาลพิพากษาตามยอม โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 2จะอ้างสิทธิตามคำพิพากษาตามยอมยึดทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ หรือให้ถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และให้ถอนการยึดทรัพย์ทั้งหมดที่จำเลยที่ 2 ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้แล้วแต่การยอมความเป็นเรื่องของจำเลยทั้งสอง ไม่มีผลเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 1เพราะในการบังคับคดีของจำเลยที่ 2 ต่อจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2คงยึดทรัพย์ได้เฉพาะสินส่วนตัวและสินสมรสที่เป็นส่วนของจำเลยที่ 1เท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1488จะยึดสินสมรสส่วนของโจทก์มิได้ ถ้าจำเลยที่ 2 นำยึดโจทก์ก็ขอกันสินสมรสส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 เมื่อจำเลยที่ 2 มีสิทธิยึดสินสมรสส่วนของจำเลยที่ 1ได้ตามมาตรา 1488 โจทก์จะฟ้องขอห้ามมิให้จำเลยที่ 2 ยึดสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และขอให้จำเลยที่ 2 ถอนการยึดทรัพย์มิได้ ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 นำยึดทรัพย์อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
of 452