คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง และการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยาน
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์กระทำการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยในกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเท่ากับศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่า คำสั่งของจำเลยซึ่งลงนามโดยหัวหน้ากองอำนาจการผู้รับมอบอำนาจเป็นคำสั่งที่ถูกต้อง อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าคำสั่งของจำเลยเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยไม่ร่วมข่มขืน แต่กระทำอนาจารผู้เสียหาย ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ลงโทษฐานกระทำอนาจาร
จำเลยไม่ได้ร่วมกับผู้หลบหนีข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 12 ปี ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องเฉพาะข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ข้อเท็จจริงส่วนนี้จึงถึงที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ส่วนปัญหาว่า จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายอันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคแรก ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำอนาจารผู้เสียหาย ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตาม ป.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1077/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม-ฉ้อฉล-ข่มขู่: ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และจำเลยไม่สามารถพิสูจน์การฉ้อฉลหรือข่มขู่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยยืมรถยนต์ของโจทก์ไปใช้แล้วขับรถยนต์ของโจทก์ไปชนคนเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหาย โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าเสียหายที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปลาปาก โดยจำเลยสัญญาว่าจะขอรับรถยนต์ของโจทก์ไป และยอมชดใช้เงินเป็นค่ารถยนต์ให้โจทก์จำนวน 210,000 บาท เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องโดยกล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและบรรยายถึงเหตุแห่งข้อหาคือจำเลยยืมรถยนต์ของโจทก์ไปใช้แล้วก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม คำให้การจำเลยบรรยายแต่เพียงว่าโจทก์ใช้กลฉ้อฉลให้จำเลยสำคัญผิดมิได้บรรยายถึงเหตุแห่งการฉ้อฉลโดยชัดแจ้ง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง ข้อนี้จึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทที่ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยให้ ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามมาตรา 249 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพนันสลากกินรวบรายใหญ่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยการไม่รอการลงโทษ
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือผู้จัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบซึ่ง เป็นการพนันที่มอมเมาประชาชนเป็นอบายมุขที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของชาติบ้านเมือง ของกลางที่ยึดได้ เป็นเงินสด1,650 บาท และใบโพย 13 แผ่น คิดเป็นจำนวนเงินถึง20,000 บาทเศษ แสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรายใหญ่ศาลย่อมไม่รอการลงโทษจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6187/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลบังคับจำนอง: ศาลฎีกาตัดสินคืนเงินส่วนเกินจากการเรียกค่าขึ้นศาลเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และยืนตามศาลล่างที่ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียม
ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้ยื่นคำร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ถือเสมือนหนึ่งว่าผู้ร้องได้ฟ้องบังคับจำนองจำเลยนั่นเอง ตามข้อ 1(ค) แห่งตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งระบุไว้ว่า ให้เรียกค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 1 แต่ไม่ให้เกิน 100,000 บาท ต่อเมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีจึงให้เรียกค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 2.5 แต่คดีนี้จำเลยมิได้คัดค้านหรือสู้ คดีแต่อย่างใด การที่โจทก์คัดค้านจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามข้อนี้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลเกินมา 100,000 บาท เห็นควรคืนให้แก่ผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะมิได้ฎีกาขึ้นมาโดยตรงก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ผู้ร้องร้องขอให้เอาเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้ชำระหนี้ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น เสมือนหนึ่งผู้ร้องฟ้องบังคับจำนองต่อจำเลยแล้ว จำเลยก็มีหน้าที่จะต้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้แทนผู้ร้อง หรือนัยหนึ่งให้ไปเรียกเอาจากกองทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดได้ และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ซึ่งบัญญัติเรื่องความรับผิดชั้นที่สุดในค่าฤชาธรรมเนียมไว้นั้น ก็เป็นดุลพินิจของศาลที่จะให้ใช้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6159/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมคำร้องคัดค้านการยืนยันหนี้ในคดีล้มละลาย: ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ใช้ค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ในคดีล้มละลายที่ผู้ร้องร้องคัดค้านการยืนยันหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้นพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสอง และวรรคสาม กำหนดให้ผู้คัดค้านดังกล่าวทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาล ซึ่งค่าธรรมเนียมในคดีล้มละลายเกี่ยวกับคำร้องนี้มิได้บัญญัติไว้ในกฎหมายล้มละลาย ผู้ร้องต้องเสียค่าคำร้อง 20 บาทตามตาราง 2(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยมาตรา 179 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5975/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมอุทธรณ์และการวินิจฉัยคดีของผู้ไม่ระบุชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการไม่ระบุชื่อเป็นเพียงความพลั้งเผลอ
คำฟ้องอุทธรณ์ของผู้คัดค้านนอกจากจะมีเนื้อหาและเหตุผลคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นของผู้คัดค้านที่ 2 แล้ว ในคำขอท้ายอุทธรณ์ก็มีข้อความที่ผู้คัดค้านทั้งสองขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นร่วมกันมา แสดงว่าผู้คัดค้านทั้งสองร่วมอุทธรณ์มาในฉบับเดียวกันแม้ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้ระบุชื่อในหัวข้อรายการแห่งคดีเพราะพลั้งเผลอ ก็ถือได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5975/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมอุทธรณ์และการวินิจฉัยคดีของผู้ไม่ระบุชื่อในคำฟ้อง: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการไม่ได้ระบุชื่อผู้ร่วมอุทธรณ์เป็นเพียงความพลั้งเผลอ
คำฟ้องอุทธรณ์ของผู้คัดค้านนอกจากจะมีเนื้อหาและเหตุผลคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นของผู้คัดค้านที่ 2 แล้ว ในคำขอท้ายอุทธรณ์ก็มีข้อความที่ผู้คัดค้านทั้งสองขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นร่วมกันมา แสดงว่าผู้คัดค้านทั้งสองร่วมอุทธรณ์มาในฉบับเดียวกันแม้ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้ระบุชื่อในหัวข้อรายการแห่งคดีเพราะพลั้งเผลอ ก็ถือได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5879/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายและยิงปืนโดยใช่เหตุ: ศาลฎีกาพิจารณาการกระทำผิดและรอการลงโทษ
ข้อหาฐานยิงปืนโดยใช่ เหตุตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ 400 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยจับและบังคับผู้เสียหายให้เดิน ไปตามร่อง สวนแล้วทำร้ายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะและที่หน้าผาก ด้าม ปืนลูกซองของจำเลยหักโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับบาดเจ็บ หากเป็นการแย่งปืนตามธรรมดา ลักษณะคงไม่รุนแรงอย่างนั้น กรณีไม่เป็นการป้องกันตัวหรือทรัพย์สินตามกฎหมาย จำเลยทำร้ายผู้เสียหายเพราะเข้าใจว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายทั้งผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลเล็กน้อย แพทย์ลงความเห็นรักษาประมาณ 7 วัน พฤติการณ์แห่งคดีสมควรรอการลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5781/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมาย โมฆะ แม้จำเลยยอมรับชำระ ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้จำนวน 84,000บาท แต่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้จำนวนดังกล่าวเมื่อจำเลยให้การว่าเป็นหนี้โจทก์จำนวน 33,000 บาท โดยได้ความว่าแยกเป็นหนี้ต้นเงินจำนวน 10,000 บาท ส่วนที่เหลือ 23,000 บาท เป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน 10,000 บาทได้ ส่วนเงินอีก 23,000 บาท เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงตกเป็นโมฆะ แม้จำเลยจะให้การยอมรับจะชำระเงินจำนวนนี้ ก็บังคับให้ไม่ได้ เมื่อได้ความว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 มาตรา 3ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 อันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นปรับแก่คดีได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246,247.
of 344