คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความรับผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,971 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3545/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยขอถอนหลักประกันสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา ความรับผิดตามสัญญาสิ้นสุดเมื่อคืนหลักทรัพย์
เมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาประกัน ส.ผู้ต้องหาต่อโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน ได้ยื่นหนังสือมีข้อความว่าขอถอนหลักทรัพย์อันเป็นหลักประกันเพื่อนำไปขายให้ผู้อื่น และจำเลยได้มอบตัว ส.ผู้ต้องหาคืนต่อโจทก์พร้อมทั้งนำหลักทรัพย์ของ อ.และพาตัว อ.มาทำสัญญาประกัน ส.ผู้ต้องหาฉบับใหม่ต่อโจทก์ด้วย โดยสัญญาระบุชื่อ อ.เป็นผู้ประกันแต่ผู้เดียว กรณีจึงมิใช่เรื่องจำเลยขอเปลี่ยนหลักประกัน แต่เป็นเรื่องขอถอนสัญญาประกันหรือขอถอนหลักประกัน เมื่อจำเลยมอบตัวต่อ ส.ผู้ต้องหาคืนต่อโจทก์แล้วเช่นนี้ ความรับผิดของจำเลยตามสัญญาประกันที่จำเลยทำต่อโจทก์ดังกล่าว ย่อมหมดไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 116

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3545/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอถอนสัญญาประกันและผลกระทบต่อความรับผิดตามสัญญา การมอบตัวผู้ต้องหาทำให้ความรับผิดสิ้นสุด
เมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาประกัน ส. ผู้ต้องหาต่อโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน ได้ยื่นหนังสือมีข้อความว่าขอถอนหลักทรัพย์อันเป็นหลักประกันเพื่อนำไปขายให้ผู้อื่น และจำเลยได้มอบตัว ส.ผู้ต้องหาคืนต่อโจทก์พร้อมทั้งนำหลักทรัพย์ของ อ.และพาตัวอ.มาทำสัญญาประกัน ส. ผู้ต้องหาฉบับใหม่ต่อโจทก์ด้วย โดยสัญญาระบุชื่อ อ. เป็นผู้ประกันแต่ผู้เดียว กรณีจึงมิใช่เรื่องจำเลยขอเปลี่ยนหลักประกัน แต่เป็นเรื่องขอถอนสัญญาประกันหรือขอถอนหลักประกัน เมื่อจำเลยมอบตัวต่อ ส. ผู้ต้องหาคืนต่อโจทก์แล้วเช่นนี้ ความรับผิดของจำเลยตามสัญญาประกันที่จำเลยทำต่อโจทก์ดังกล่าว ย่อมหมดไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 116

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3475/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับสภาพหนี้และการฟ้องผิดสัญญาประกันภัย การฟ้องต้องสอดคล้องกับมูลหนี้ที่รับสภาพ
หนังสือของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.7 กล่าวอ้างถึงหนังสือของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยเคยข้อเสนอชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 147,375.06 บาท และจำเลยยืนยันในหนังสือเอกสารหมาย จ.7 อีกครั้งว่าจะชำระค่าเสียหายดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นเงิน 147,375.06 บาท ภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุดแม้จำนวนเงินที่จำเลยเสนอจะต่ำกว่าที่โจทก์เรียกร้อง เป็นจำนวนเงิน 174,203.40 บาท ก็ตาม แต่จำเลยก็มิได้โต้แย้งค่าสินไหมทดแทนในจำนวนเงิน 147,375.06 บาท กลับยืนยันว่าจะใช้เงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์ หนังสือของจำเลยตามเอกสารหมายจ.7 จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เดิม ความเสียหายของเครื่องปั๊มน้ำเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย การเสี่ยงภัยทุกชนิดในการติดตั้งไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งทางทะเลตามฟ้อง เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยให้รับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งทางทะเลแม้โจทก์จะฟ้องบังคับจำเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้ด้วยก็ตามแต่โจทก์ก็กล่าวอ้างว่าเป็นการรับสภาพหนี้ตามกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งทางทะเล เมื่อได้ความว่าจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามกรมธรรม์ประกันภัยการเสี่ยงภัยทุกชนิดในการติดตั้งมิได้รับสภาพหนี้ตามกรมธรรม์ประกันภัยการขนส่งทางทะเลตามฟ้องเช่นกัน เช่นนี้ จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง จำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3462/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อโกงเช่ารถยนต์และการรับประกันภัย: กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิด
การที่คนร้ายอ้างว่าชื่อ ส.และพ. ไปขอเช่ารถยนต์คันที่จำเลยรับประกันภัยไว้จากบ. ซึ่ง บ. เช่าซื้อมาจากโจทก์โดยระบุโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์โดยใช้บัตรประจำตัวประชาชนและใบขออนุญาตขับรถยนต์ปลอมแสดงต่อบ. บ.ตกลงให้เช่า แต่เมื่อได้รับรถยนต์ไปจากบ. แล้ว คนร้ายไม่นำมาคืนแสดงให้เห็นว่าคนร้าย มีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวง บ. ให้ส่งมอบรถยนต์แก่คนร้ายมาตั้งแต่ต้น ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าคนร้ายเป็นบุคคลที่มีชื่อและภูมิลำเนาตามเอกสารปลอมมีความประสงค์จะเช่ารถยนต์ บ. หลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงยินยอมส่งมอบรถยนต์ให้แก่คนร้ายไป ความจริงคนร้ายแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและไม่มีประสงค์จะเช่ารถยนต์ การกระทำของคนร้ายเป็นความผิดฐานฉ้อโกงไม่ใช่ความผิดฐาน ลักทรัพย์หรือยักยอกอันจะเป็นข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยต้อง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3437/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรถยนต์ไม่ถึงแก่ความรับผิดหากไม่ได้ครอบครองหรือควบคุมรถขณะเกิดเหตุ
แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุให้จำเลยรับผิดในฐานะจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุไว้ด้วย แต่ข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยเพียงเป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุเท่านั้น โดยจำเลยมิได้เป็นผู้ขับหรือโดยสารไปด้วย จำเลยจึงมิใช่เป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมรถยนต์คันเกิดเหตุตามความหมายแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 437

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3437/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรถไม่จำเป็นต้องรับผิดหากไม่ได้เป็นผู้ขับหรือครอบครองรถขณะเกิดเหตุ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 4 ง-5838 กรุงเทพมหานคร ทั้งเป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วย ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยประมาทจนชนท้ายรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ และโจทก์จัดการซ่อมรถคันที่โจทก์รับประกันภัยแล้วจึงเข้ารับช่วงสิทธิในค่าเสียหายดังกล่าวดังนี้ แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุให้จำเลยรับผิดในฐานะจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุไว้ด้วย แต่เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าในขณะที่เกิดเหตุจำเลยเพียงเป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุเท่านั้น โดยจำเลยมิได้เป็นผู้ขับหรือโดยสารไปด้วย จำเลยจึงมิใช่เป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมรถยนต์คันเกิดเหตุตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3437/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรถยนต์ไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุ หากไม่ได้เป็นผู้ขับหรือครอบครองรถในขณะเกิดเหตุ
แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุให้จำเลยรับผิดในฐานะจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุไว้ด้วย แต่ข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยเพียงเป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุเท่านั้น โดยจำเลยมิได้เป็นผู้ขับหรือโดยสารไปด้วย จำเลยจึงมิใช่เป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมรถยนต์คันเกิดเหตุตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3379/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยปฏิเสธสัญญาค้ำประกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นการรับรองลายมือชื่อและขอบเขตความรับผิดตามสัญญา
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ สัญญาค้ำประกันตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม และไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไร หากจำเลยที่ 2จะต้องรับผิดต่อโจทก์แล้วก็จะต้องรับผิดไม่เกิน 150,000 บาท ดังนี้คำให้การจำเลยที่ 2 ตอนต้นเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงส่วนตอนหลังเป็นเรื่องปัญหาข้อกฎหมายว่าจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด หาได้ขัดกันไม่จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหรือไม่ และจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด คำให้การของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว ไม่ได้ให้การในรายละเอียดว่าลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธินำสืบว่าลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 ข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเป็นเรื่องนอกคำให้การ จึงรับฟังไม่ได้ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ให้ถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2เป็นคำฟ้องฎีกาของจำเลยที่ 2 ด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งเป็นฎีกาที่ไม่ชอบจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดฐานตัวการในคดีร่วมกันฆ่า แม้ไม่ชัดเจนว่าเป็นผู้ลงมือ
จำเลยได้ร่วมกับพวกมาหาเรื่องกับกลุ่มผู้ตาย โดยจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวมาด้วย ตามพฤติการณ์ย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาจจะมีการใช้อาวุธปืนยิงคนในกลุ่มผู้ตายถึงแก่ความตายได้ ดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้แน่ชัดเพียงว่ามีคนในกลุ่มจำเลยซึ่งไม่แน่ว่าจะเป็นจำเลยหรือไม่ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายและผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จำเลยก็ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3341/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: ฝ่ายแพ้คดีต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ คดีถึงที่สุด จำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายแพ้คดี ต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 วรรคแรกและวรรคสอง ทั้งการที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ก็เพราะจำเลยทั้งสองไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นับว่าเป็นความผิดของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี จำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ตามที่บัญญัติไว้ในตาราง 5(3) ท้าย ป.วิ.พ.
of 498