พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิออกเสียงเจ้าหนี้ในที่ประชุม, มติที่ประชุมเจ้าหนี้มีผลผูกพัน, การถอนฟ้องคดีไม่ขัดต่อคำพิพากษา
คดีล้มละลาย หนี้จำพวกที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ และได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้วก่อนวันประชุมเจ้าหนี้นั้น เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมได้ และเมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าหนี้ที่มาประชุมคัดค้านการออกเสียงของเจ้าหนี้รายนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่ต้องสั่งบั่นทอนในการออกเสียงของเจ้าหนี้นั้น และถือว่าเป็นการออกเสียงที่มีผลตามกฎหมายเมื่อจำนวนหนี้ของเจ้าหนี้ฝ่ายที่ลงมติฝ่ายนี้มีมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องถือว่ามติของเจ้าหนี้ฝ่ายที่มีจำนวนหนี้ข้างมากนี้เป็นมติของที่ประชุมด้วย
คดีที่ศาลฎีกาพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปในฐานะที่โจทก์มีสิทธิดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้นั้น ไม่ใช่เป็นคำพิพากษาบังคับให้โจทก์จำต้องดำเนินคดีอย่างใด
คดีที่ศาลฎีกาพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปในฐานะที่โจทก์มีสิทธิดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้นั้น ไม่ใช่เป็นคำพิพากษาบังคับให้โจทก์จำต้องดำเนินคดีอย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1182/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการแก้ไขคำบังคับคดีและการกำหนดวันมอบรถยนต์ตามคำพิพากษา
การที่ศาลได้ออกหมายบังคับคดี ตั้งหัวหน้ากองหมายเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี จัดการยึดอายัดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือทำการอื่นใดโดยอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นเรื่องการดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษา
คำบังคับหรือหมายบังคับที่ศาลออกไปแล้ว ถ้าศาลนั้นเองมาพิจารณาเห็นว่าไม่ถูกต้อง ศาลนั้นย่อมออกคำสั่งแก้ไขให้เปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษา เป็นเรื่องที่ศาลสั่งแก้ไขคำบังคับ มิใช่เป็นเรื่องแก้ไขคำพิพากษา
คำบังคับหรือหมายบังคับที่ศาลออกไปแล้ว ถ้าศาลนั้นเองมาพิจารณาเห็นว่าไม่ถูกต้อง ศาลนั้นย่อมออกคำสั่งแก้ไขให้เปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษา เป็นเรื่องที่ศาลสั่งแก้ไขคำบังคับ มิใช่เป็นเรื่องแก้ไขคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งงดสืบพยานระหว่างพิจารณาคดี: การอุทธรณ์ต้องรอจนกว่ามีคำพิพากษา
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบและมีคำสั่งให้งดสืบในประเด็นข้อใดเป็นการสั่งโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 86 วรรค 2 ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226(1) จะอุทธรณ์ในทันทีทันใดมิได้ โจทก์ชอบที่จะโต้แย้งคำสั่งไว้และอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้เมื่อศาลพิพากษาหรือชี้ขาดตัดสินคดี กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 228(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งงดสืบพยานระหว่างพิจารณาคดี: ไม่อุทธรณ์ได้ทันที ต้องรอคำพิพากษา
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบและมีคำสั่งให้งดสืบในประเด็นข้อใด เป็นการสั่งโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226(1) จะอุทธรณ์ในทันทีทันใดมิได้ โจทก์ชอบที่จะโต้แย้งคำสั่งไว้ และอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้เมื่อศาลพิพากษาหรือชี้ขาดตัดสินคดี กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำในหนี้เดียวกัน: การฟ้องล้มละลายหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วไม่ถือเป็นฟ้องซ้อน
โจทก์เคยฟ้องคดีแพ่งถึงที่สุดไปแล้ว ศาลชี้ขาดว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีในหนี้รายเดียวกันว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวควรตกเป็นบุคคลล้มละลายเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้อน หรือฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา ศาลมีอำนาจพิจารณาบังคับคดีตามความเป็นจริง แม้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว หากมีเหตุเปลี่ยนแปลง
โจทก์ฟ้องจำเลย ศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้วเป็นผลว่าให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนขายที่พิพาทให้โจทก์ 2 งาน โดยวัดจากหลักหมายเลขที่ 12021 ไปหาหลักเลขที่ 08080 โดยให้เป็นรูปที่ดินตามเส้นแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ถ้าหากจำเลยไม่ปฏิบัติการโอนให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยนี้ด้วย ถ้าจำเลยไม่สามารถขายที่ดินรายนี้ให้โจทก์ได้ตามที่กล่าวแล้ว ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนเงินมัดจำ 5,000 บาทแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 10,000 บาทดังนี้ ในการบังคับคดีย่อมเป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นที่จะต้องดูว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะปฏิบัติการโอนขายที่พิพาทให้โจทก์2 งานดังกล่าวแล้วได้โดยชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่ และจะถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยได้หรือไม่เมื่อไม่มีทางปฏิบัติตามที่กล่าวนั้นได้แล้วจึงจะบังคับให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 5,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 10,000 บาท
กรณีดังกล่าวข้างต้น ในชั้นแรกข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่า จำเลยไม่อาจปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบังคับโดยวิธีแรกนั้นได้ โจทก์ขอให้บังคับการโอนเป็นอย่างอื่นศาลชั้นต้นจึงสั่งบังคับให้เป็นไปโดยวิธีที่สอง คือให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมทั้งดอกเบี้ยและชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นขึ้นมาและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืนตามนั้นก็ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็เป็นคำวินิจฉัยในเรื่องคำสั่งบังคับคดีของศาลชั้นต้นนั้นเองเป็นการวินิจฉัยในกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล จึงต้องด้วยข้อยกเว้นให้รื้อร้องกันอีกได้ตามมาตรา 148(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับดังกล่าวนั้น คือ ยังมิได้คืนเงินมัดจำและชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ถ้ามีข้อเท็จจริงใหม่ปรากฏต่อศาลว่าศาลอาจดำเนินการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาโดยวิธีแรกอันเป็นคำบังคับตามคำขอที่เป็นประธานในคดีนี้ได้อยู่โจทก์ก็มีสิทธิที่จะขอคำบังคับศาลให้ดำเนินการไปตามความจริงตามคำพิพากษาได้อีก
กรณีดังกล่าวข้างต้น ในชั้นแรกข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่า จำเลยไม่อาจปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบังคับโดยวิธีแรกนั้นได้ โจทก์ขอให้บังคับการโอนเป็นอย่างอื่นศาลชั้นต้นจึงสั่งบังคับให้เป็นไปโดยวิธีที่สอง คือให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมทั้งดอกเบี้ยและชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นขึ้นมาและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืนตามนั้นก็ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็เป็นคำวินิจฉัยในเรื่องคำสั่งบังคับคดีของศาลชั้นต้นนั้นเองเป็นการวินิจฉัยในกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล จึงต้องด้วยข้อยกเว้นให้รื้อร้องกันอีกได้ตามมาตรา 148(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับดังกล่าวนั้น คือ ยังมิได้คืนเงินมัดจำและชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ถ้ามีข้อเท็จจริงใหม่ปรากฏต่อศาลว่าศาลอาจดำเนินการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาโดยวิธีแรกอันเป็นคำบังคับตามคำขอที่เป็นประธานในคดีนี้ได้อยู่โจทก์ก็มีสิทธิที่จะขอคำบังคับศาลให้ดำเนินการไปตามความจริงตามคำพิพากษาได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 362/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและผลของการไม่อุทธรณ์คดีจำเลยที่ 1
โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ 1(ตัวแทน) จำเลยที่ 2(ตัวการ) ร่วมกันและแทนกันใช้เงินค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 ซื้อไปจากโจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 เท่านั้นใช้เงินค่าสินค้าแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยส่วนฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกเสีย จำเลยที่ 2 เท่านั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ โจทก์จะฎีกาขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามฟ้องอีกหาได้ไม่ต้องถือว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นอันยุติลงตามกระบวนความเพียงแค่ศาลชั้นต้นไปแล้ว โจทก์คงฎีกาได้เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พระราชทานอภัยโทษไม่ลบล้างคำพิพากษาเดิม และสิทธิในการฟ้องขอโทษกักกันยังคงมี
แม้จำเลยจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษให้ลดโทษลงเพียงใด ถึงขั้นปล่อยตัวไปก็ตาม คำพิพากษาของศาลที่กำหนดโทษไว้เดิมนั้นก็หาได้ถูกลบล้างไปไม่
การที่ศาลทหารกล่าวไว้ในคำพิพากษาให้ยกคำขอที่ขอให้กักกันจำเลยเพราะไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารนั้น หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องขอให้กักกันจำเลยต่อศาลทีมีอำนาจไม่
การที่ศาลทหารกล่าวไว้ในคำพิพากษาให้ยกคำขอที่ขอให้กักกันจำเลยเพราะไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารนั้น หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องขอให้กักกันจำเลยต่อศาลทีมีอำนาจไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พระราชทานอภัยโทษไม่ลบล้างคำพิพากษาเดิม และสิทธิการฟ้องกักกันยังคงมี
แม้จำเลยจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษให้ลดโทษลงเพียงใด ถึงขั้นปล่อยตัวไปก็ตาม คำพิพากษาของศาลที่กำหนดโทษไว้เดิมนั้นก็หาได้ถูกลบล้างไปไม่
การที่ศาลทหารกล่าวไว้ในคำพิพากษาให้ยกคำขอที่ขอให้กักกันจำเลย เพราะไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารนั้น หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องขอให้กักกันจำเลยต่อศาลที่มีอำนาจไม่
การที่ศาลทหารกล่าวไว้ในคำพิพากษาให้ยกคำขอที่ขอให้กักกันจำเลย เพราะไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารนั้น หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องขอให้กักกันจำเลยต่อศาลที่มีอำนาจไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการประวิงคดี: ศาลยืนยันบังคับคดีตามคำพิพากษาเดิม แม้มีการฟ้องคดีใหม่เพื่อโต้แย้งกรรมสิทธิ์
ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีโดยให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งบังคับให้จำเลยรื้อถอนห้องแถว 3 ห้องของจำเลยออกไปจากที่พิพาทแล้วส่งคืนที่พิพาทในสภาพอันเรียบร้อยแก่โจทก์ ชั้นบังคับคดี จำเลยยื่นคำร้องว่า ที่พิพาทที่จำเลยปลูกบ้านอยู่นี้เป็นของวัดกำแพง(วัดร้าง) ซึ่งจำเลยเช่าจากวัดโบสถ์ และวัดร้างอยู่ในความดูแลของกรมการศาสนา บัดนี้ กรมการศาสนาได้ยื่นฟ้องโจทก์เพื่อเรียกที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์แล้ว หากกรมการศาสนาชนะคดีโจทก์แล้วอำนาจบังคับคดีของโจทก์ก็หมดไปในตัว จึงขอให้ศาลชั้นต้นรอการบังคับคดีไว้ก่อนเพื่อรอผลคดีที่กรมการศาสนาฟ้องโจทก์ดังกล่าวให้ถึงที่สุดก่อน ดังนี้ คำร้องของจำเลยเป็นเรื่องขอให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งอยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งตามสมควรแก่รูปคดี ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยได้ใช้วิธีการต่าง ๆ ในเชิงคดีที่จะประวิงการบังคับคดีตามคำพิพากษาให้เนิ่นนานตลอดมา และปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ผ่อนผันให้โอกาสและเวลานานพอที่จำเลยจะปฏิบัติตามคำบังคับแล้ว การที่กรมการศาสนาฟ้องโจทก์ตามที่จำเลยกล่าวอ้างในคำร้อง ไม่เป็นเหตุที่จะงดการบังคับคดี