พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,691 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: ราคาขายทอดตลาดเหมาะสมและประกาศขายแพร่หลายแล้ว ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ในการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทรวม 14 ครั้ง ในระยะเวลา3 ปี ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเสนอราคาสูงกว่าราคาที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ขายได้ในการขายทอดตลาดครั้งที่ 15 ราคาที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ขายจึงเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว
เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งคำสั่งของศาลที่อนุญาตให้ขายทอดตลาดและวันขายทอดตลาดแก่บรรดาบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาดซึ่งทราบได้ตามทะเบียน หรือโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 306 ครบถ้วนแล้ว ถือได้ว่าเป็นการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินพิพาทที่แพร่หลายตามสมควรแล้วไม่มีเหตุที่จะต้องขายทอดตลาดใหม่.(ที่มา-เนติ)
เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งคำสั่งของศาลที่อนุญาตให้ขายทอดตลาดและวันขายทอดตลาดแก่บรรดาบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาดซึ่งทราบได้ตามทะเบียน หรือโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 306 ครบถ้วนแล้ว ถือได้ว่าเป็นการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินพิพาทที่แพร่หลายตามสมควรแล้วไม่มีเหตุที่จะต้องขายทอดตลาดใหม่.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5680/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด: สิทธิในการดำเนินคดีแทนลูกหนี้
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยไว้ก่อน แล้ว หลังจากนั้น จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2530 ครั้นวันที่ 29 มิถุนายน 2530 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่โจทก์นำยึดตามคำสั่งศาล เช่นนี้ จำเลยจะร้องคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวไม่ได้ อำนาจในการดำเนินคดีย่อมตกแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มาศาลในวันที่ศาลนัดไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ขอคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีแทนจำเลย ย่อมมีอำนาจจะคุ้มครองป้องกันสิทธิของจำเลยทุกประการ ศาลจึงไม่มีหน้าที่จะต้องสอบถามเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปหรือไม่
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มาศาลในวันที่ศาลนัดไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ขอคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีแทนจำเลย ย่อมมีอำนาจจะคุ้มครองป้องกันสิทธิของจำเลยทุกประการ ศาลจึงไม่มีหน้าที่จะต้องสอบถามเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4546/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการขยายผลถึงตัวการ กรณีบริษัทเชิด
ศาลแรงงานกลางฟังว่าผู้ร้องและบริษัทจำเลยเป็นนิติบุคคลที่เกี่ยวพันอันเดียวกัน การจัดตั้งบริษัทจำเลยก็เพื่อเชิดบังหน้าต่อทางราชการและบุคคลภายนอก การดำเนินการของบริษัทจำเลยคือการดำเนินกิจการของผู้ร้อง จำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้อง โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยจึงมีสิทธิยึดทรัพย์สินของผู้ร้องซึ่งเป็นตัวการได้ ดังนี้อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าเมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำยึด การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวแทนเชิดของผู้ร้องเป็นเรื่องนอกประเด็นนั้นผู้ร้องประสงค์ที่จะให้ศาลฎีการับฟังว่าผู้ร้องกับจำเลยมิได้ร่วมกันดำเนินกิจการดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดทรัพย์ของผู้ร้อง จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4542-4544/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิกรมสรรพากรขอเฉลี่ยทรัพย์ในชั้นบังคับคดี ไม่ใช่คดีพิพาทภาษีอากร ต้องดำเนินการตามวิธิพิจารณาความแพ่ง
ศาลแรงงานยึดทรัพย์สินของจำเลยไว้เพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาเมื่อจำเลยค้างชำระค่าภาษีอากรอันเป็นภาษีอากรค้าง กรมสรรพากรจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลแรงงานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ซึ่งเป็นบทบัญญัติบังคับไว้โดยเฉพาะในชั้นบังคับคดี กรณีไม่อาจถือว่าเป็นคดีพิพาทอันเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรตามมาตรา 7 (2) แห่งพระราชบัญญัติจักตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ที่จะต้องให้กรมสรรพากรไปดำเนินคดีที่ศาลภาษีอากรก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4542-4544/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิกรมสรรพากรขอเฉลี่ยทรัพย์ในชั้นบังคับคดีภาษีอากรค้าง ไม่ต้องฟ้องคดีภาษีอากรแยก
ศาลแรงงานยึดทรัพย์สินของจำเลยไว้เพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาเมื่อจำเลยค้างชำระค่าภาษีอากรอันเป็นภาษีอากรค้าง กรมสรรพากรจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลแรงงานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290ซึ่งเป็นบทบัญญัติบังคับไว้โดยเฉพาะในชั้นบังคับคดี กรณีไม่อาจถือว่าเป็นคดีพิพาทอันเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรตามมาตรา 7(2) แห่งพระราชบัญญัติจักตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ที่จะต้องให้กรมสรรพากรไปดำเนินคดีที่ศาลภาษีอากรก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 446/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการคัดค้านการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำที่เจตนาหน่วงเหนี่ยวการบังคับคดี
เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย 4 ครั้ง ซึ่งการขายแต่ละครั้งจำเลยคัดค้านว่าขายได้ราคาต่ำ ขอให้ประกาศขายใหม่ สำหรับการขายครั้งที่สามจำเลยยอมรับว่าถ้าได้ราคาสูงสุดเท่าใดก็ให้ขายในราคานั้นจำเลยจะไม่คัดค้านไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้นและเมื่อประกาศขายครั้งที่สี่ มีผู้ให้ราคาสูงสุดจำเลยก็คัดค้านอีกว่าขายได้ราคาต่ำ การขายไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย พฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้มีลักษณะเป็นการหน่วงเหนี่ยวการบังคับคดีเพื่อให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย การขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4192/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการรับเงินค่าเช่าจากการบังคับคดี และอำนาจศาลในการบังคับชำระค่าเช่าของผู้เช่า
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เช่าทรัพย์สินดังกล่าวได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้เป็นผู้รักษาทรัพย์ผู้ร้องทำบันทึกไว้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า จะนำค่าเช่าส่งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีและได้ชำระค่าเช่าจำนวนหนึ่งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ค่าเช่าจำนวนดังกล่าวย่อมตกเป็นของจำเลยผู้ร้องไม่มีสิทธิขอรับคืน
แม้ผู้ร้องจะได้ทำบันทึกไว้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า จะนำค่าเช่าที่ผู้ร้องเป็นผู้เช่าทรัพย์สินที่ถูกยึดมาชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีบันทึกดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต่อมาผู้ร้องไม่ชำระค่าเช่าย่อมเป็นหน้าที่ของโจทก์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการบังคับเอากับผู้ร้องตามสัญญาเช่าเมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีการอายัดค่าเช่าดังกล่าว ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจบังคับให้ผู้ร้องชำระค่าเช่าที่ค้างได้
แม้ผู้ร้องจะได้ทำบันทึกไว้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า จะนำค่าเช่าที่ผู้ร้องเป็นผู้เช่าทรัพย์สินที่ถูกยึดมาชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีบันทึกดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต่อมาผู้ร้องไม่ชำระค่าเช่าย่อมเป็นหน้าที่ของโจทก์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการบังคับเอากับผู้ร้องตามสัญญาเช่าเมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีการอายัดค่าเช่าดังกล่าว ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจบังคับให้ผู้ร้องชำระค่าเช่าที่ค้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 403/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีรื้อถอนอาคาร: เหตุขอขยายเวลาต้องสมเหตุสมผลและไม่ใช่การจงใจชะลอการปฏิบัติตามคำพิพากษา
เมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาท จำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำบังคับ และหมายบังคับคดีของศาล การที่จำเลยขอขยายกำหนดการบังคับคดี โดยอ้างว่าการรื้อถอนอาคารพิพาทจำต้องใช้การคำนวณของนักวิชาการและต้องใช้เวลาถึง 502 วัน และในอาคารพิพาทมีคนงานทำงานอยู่เกือบ 60 คน ต้องให้เวลาหาสถานที่ให้แก่คนงานเหล่านั้นด้วย ยังไม่เป็นเหตุพ้นวิสัยอันจะเป็นมูลให้จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ พฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางจงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จึงไม่มีเหตุที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 403/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีรื้อถอนอาคาร: เหตุขยายเวลาต้องมีเหตุพ้นวิสัย การอ้างความเดือดร้อนของคนงานไม่เพียงพอ
เมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาท จำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำบังคับ และหมายบังคับคดีของศาล การที่จำเลยขอขยายกำหนดการบังคับคดี โดยอ้างว่าการรื้อถอนอาคารพิพาทจำต้องใช้การคำนวณของนักวิชาการและต้องใช้เวลาถึง 502 วันและในอาคารพิพาทมีคนงานทำงานอยู่เกือบ 60 คน ต้องให้เวลาหาสถานที่ให้แก่คนงานเหล่านั้นด้วย ยังไม่เป็นเหตุพ้นวิสัยอันจะเป็นมูลให้จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ พฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางจงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จึงไม่มีเหตุที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยต่อไป.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4017/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในคดีมรดก: สิทธิรอคอยจนคดีถึงที่สุด
การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้ตามที่โจทก์ขอแต่สั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าจะสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์และจำเลยมิได้ขอให้ทุเลาการบังคับคดีนั้น แม้จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นอันมีผลให้คำสั่งที่ให้งดการบังคับคดีดังกล่าวสิ้นสุดลง แต่เมื่อโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260 (2) คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ความคุ้มครองชั่วคราวแก่โจทก์ก่อนพิพากษาตามมาตรา 254 (2) โดยการห้ามโอน ขาย ยักย้ายทรัพย์มรดกพิพาทนั้นย่อมมีผลอยู่ต่อไป
การบังคับคดีนั้นเป็นอำนาจของคู่ความที่ชนะคดีจะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดเพราะโจทก์อุทธรณ์และโจทก์ไม่อาจทราบได้ว่าจะได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์พิพาทเป็นจำนวนเงินเท่าใด โจทก์ย่อมมีสิทธิรอให้คดีถึงที่สุดเสียก่อนจึงดำเนินการบังคับคดีต่อไป ทั้งการที่โจทก์ขอให้ห้ามโอนขาย ยักย้ายทรัพย์มรดกพิพาททั้งหมดก็เพราะโจทก์อ้างว่ามีสิทธิได้รับมรดก 1 ใน 3 ส่วนทุกรายการจึงไม่เป็นการห้ามเกินความจำเป็น
คำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลสั่งจำหน่ายและแบ่งทรัพย์มรดกพิพาทซึ่งศาลได้มีคำสั่งห้ามโอน ขาย ยักย้าย ดังกล่าวอันพออนุโลมได้ว่าเป็นการร้องขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น เมื่อไม่มีเหตุผลเพียงพอ ศาลย่อมสั่งยกคำร้องโดยไม่จำต้องไต่สวน.
การบังคับคดีนั้นเป็นอำนาจของคู่ความที่ชนะคดีจะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดเพราะโจทก์อุทธรณ์และโจทก์ไม่อาจทราบได้ว่าจะได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์พิพาทเป็นจำนวนเงินเท่าใด โจทก์ย่อมมีสิทธิรอให้คดีถึงที่สุดเสียก่อนจึงดำเนินการบังคับคดีต่อไป ทั้งการที่โจทก์ขอให้ห้ามโอนขาย ยักย้ายทรัพย์มรดกพิพาททั้งหมดก็เพราะโจทก์อ้างว่ามีสิทธิได้รับมรดก 1 ใน 3 ส่วนทุกรายการจึงไม่เป็นการห้ามเกินความจำเป็น
คำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลสั่งจำหน่ายและแบ่งทรัพย์มรดกพิพาทซึ่งศาลได้มีคำสั่งห้ามโอน ขาย ยักย้าย ดังกล่าวอันพออนุโลมได้ว่าเป็นการร้องขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น เมื่อไม่มีเหตุผลเพียงพอ ศาลย่อมสั่งยกคำร้องโดยไม่จำต้องไต่สวน.