คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลอุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 572/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์: อำนาจศาลอุทธรณ์ในการรับอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา
ศาลชั้นต้นสั่งปรับนายประกันเพราะจำเลยไม่มาศาลตามวันเวลานัดพิจารณา นายประกันอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ นายประกันอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์สั่งรับอุทธรณ์คำสั่งนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยาน-อุทธรณ์-ฎีกา: การที่ศาลอุทธรณ์ให้สืบพยานต่อหลังศาลชั้นต้นงดสืบพยานและคู่ความไม่โต้แย้งคำสั่ง เป็นการไม่ชอบ
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาและคู่ความมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาแต่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไปนั้นจึงไม่ชอบ และศาลฎีกาจำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏในสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลเรื่องค่าขึ้นศาลเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ห้ามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งผิด
ในชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีโจทก์เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลโดยคิดคำนวณจากทุนทรัพย์ภายในกำหนด 15 วัน มิฉะนั้นศาลจะไม่รับคำฟ้อง คำสั่งเช่นว่านี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์และศาลอุทธรณ์พิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป ทั้งๆ ที่ศาลชั้นต้นยังมิได้สั่งไม่รับฟ้องโจทก์ จึงเป็นการไม่ถูกต้อง กรณีเป็นหนี้อันแบ่งแยกไม่ได้แม้จำเลยที่ 3,4มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3,4 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา245(1)ประกอบด้วยมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 303/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานก่อนพิพากษาคดี: ศาลอุทธรณ์สั่งย้อนสำนวนเพื่อสืบพยานใหม่
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยานโจทก์แล้วพิพากษาคดีไป แม้คู่ความไม่โต้แย้งคำสั่งให้งดสืบพยาน ก็เป็นการพิจารณาผิดพลาด ศาลอุทธรณ์สั่งให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการสั่งให้พิจารณาใหม่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ครบถ้วนประเด็นสำคัญ
แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานจนจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งแล้วก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาให้ได้ความจริงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาเสียใหม่ได้ เพราะมิใช่พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและจำเลยมิได้คัดค้านไว้
แม้อุทธรณ์ของจำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ โดยจำเลยมิได้กล่าวไว้ในอุทธรณ์ว่าขอให้ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ก็ตามศาล อุทธรณ์ก็มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ที่จะมีคำสั่งยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ หรือให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่และพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยเรื่องนี้ถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิพากษาเสียใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243
ตามคำให้การของจำเลยมีอยู่ว่าจำเลยไม่มีสิทธิรื้อถอนและโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอน ตามคำแถลงของโจทก์ก็มีเพียงว่าจำเลยไม่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างอันเป็นทรัพย์พิพาทจำเลยไม่สามารถรื้อถอนได้ มิได้มีข้อความตอนใดว่าจำเลยยินดีที่จะรื้อถอนสิ่งก่อสร้าง จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยได้สละข้อต่อสู้ทั้งปวงหมดสิ้นแล้วนอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้อีกข้อหนึ่งที่ว่าโจทก์ยังคงสงวนสิทธิในถนนพิพาทอยู่หรือไม่ ซึ่งข้อนี้จำเลยให้การไว้ในทำนองว่าโจทก์ได้แสดงเจตนา ให้ทางพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทางพิพาทก็ได้ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นแล้วฝ่ายโจทก์แถลงว่าไม่เป็นความจริง อันเป็นที่เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงข้อนี้ยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ จึงต้องสืบพยานกันต่อไป
การที่ทางใดจะเป็นทางสาธารณะนั้นหาได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานทางทะเบียนเสมอไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการสั่งให้พิจารณาใหม่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยประเด็นสำคัญ และการยกฟ้องที่ไม่ต้องกล่าวในอุทธรณ์
แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานจนจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งแล้วก็ตามถ้าเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาให้ได้ความจริงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาเสียใหม่ได้ เพราะมิใช่พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและจำเลยมิได้คัดค้านไว้
แม้อุทธรณ์ของจำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์โดยจำเลยมิได้กล่าวไว้ในอุทธรณ์ว่าขอให้ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ก็ตาม ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ที่จะมีคำสั่งยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น แล้วให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ หรือให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่และพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยเรื่องนี้ ถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิพากษาเสียใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243
ตามคำให้การของจำเลยมีอยู่ว่า จำเลยไม่มีสิทธิรื้อถอนและโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอน ตามคำแถลงของโจทก์ก็มีเพียงว่า จำเลยไม่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างอันเป็นทรัพย์พิพาท จำเลยไม่สามารถรื้อถอนได้มิได้มีข้อความตอนใดว่าจำเลยยินดีที่จะรื้อถอนสิ่งก่อสร้าง จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยได้สละข้อต่อสู้ทั้งปวงหมดสิ้นแล้วนอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้อีกข้อหนึ่งที่ว่า โจทก์ยังคงสงวนสิทธิในถนนพิพาทอยู่หรือไม่ ซึ่งข้อนี้จำเลยให้การไว้ในทำนองว่า โจทก์ได้แสดงเจตนาให้ทางพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทางพิพาทก็ได้ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นแล้วฝ่ายโจทก์แถลงว่าไม่เป็นความจริง อันเป็นที่เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงข้อนี้ก็ยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ จึงต้องสืบพยานกันต่อไป
การที่ทางใดจะเป็นทางสาธารณะนั้น หาได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานทางทะเบียนเสมอไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639-2640/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งข้อเท็จจริงในฎีกาต้องชัดเจน และศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งค่าฤชาธรรมเนียม แม้ไม่มีคำขอ
ฎีกาจำเลยเป็นแต่เพียงโต้เถียงว่าที่ดินตามบัญชีท้ายฟ้องเป็นสินเดิมของ ล. โดยมิได้อ้างอิงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเป็นเหตุผลแห่งข้อโต้แย้งให้ชัดแจ้งในฎีกา ฎีกาของจำเลยในประเด็นข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 ประกอบกับมาตรา 167 บัญญัติให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ในอันที่จะมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ไม่ว่าคู่ความทั้งปวงหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจักมีคำขอหรือไม่ก็ดี ศาลอุทธรณ์จึงหยิบยกเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมนี้ขึ้นกล่าวเองได้ แม้ประเด็นแห่งคดีมิได้มีข้อโต้เถียงในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม
โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถา และจำเลยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา เมื่อเรื่องปรากฏต่อศาลอุทธรณ์ก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์จำเลยต่างฝ่ายต่างมีส่วนได้รับทรัพย์พิพาทจากกองมรดกเป็นจำนวนมาก ถือได้ว่าทั้งโจทก์และจำเลยมีทรัพย์สินพอจะเสียค่าฤชาธรรมเนียมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 159 ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจสั่งให้คู่ความทั้งสองฝ่ายชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้รับยกเว้น หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์พิพาท แล้วเอาฃำระค่าฤชาธรรมเนียมจากทรัพย์สินที่ยึดนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องการบุกรุกที่ดินและกรรมสิทธิ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินราคา 4,000 บาท ขอห้ามมิให้เกี่ยวข้อง จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์และฟ้องแย้งขอห้ามกับให้โจทก์รื้อกองฟางและถมบ่อ ดังนี้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ไม่ถือทุนทรัพย์รวม 2 คดี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2497/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอรอการลงโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท รอการลงโทษจำคุก ศาลอุทธรณ์แก้เป็นไม่รอการลงโทษ จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก เป็นข้อเท็จจริง ฎีกาไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขฉบับที่ 8 พ.ศ.2517 มาตรา 6
ใช้ให้ทำผิดและร่วมทำผิดด้วย เป็นความผิดกรรมเดียวฐานตัวการร่วมกระทำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2454/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดลอกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยตรงถือเป็นการกล่าวโดยชัดแจ้งตามมาตรา 249
ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยคัดลอกจากอุทธรณ์คำต่อคำ ก็เป็นการกล่าวโดยชัดแจ้งตาม มาตรา 249 ได้
of 225