พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3572/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องฎีกาและการขอพิจารณาใหม่: ข้อจำกัดด้านเวลาและคุณสมบัติ
จำเลยที่ 3 มิได้แต่งตั้งให้ ป.เป็นทนายความหรือมอบอำนาจให้ป.ฟ้องคดีแทน ป.จึงไม่มีอำนาจยื่นฎีกาแทนจำเลยที่ 3 ฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3จึงเป็นคำคู่ความที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ขึ้นมา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ไม่ได้
พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2โดยวิธีปิดหมาย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ทราบคำบังคับหลังจากล่วงพ้นไปแล้ว 15 วัน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อล่วงเลยระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผลจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้
กำหนดระยะเวลา 6 เดือน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208ตอนท้าย จะนำมาใช้บังคับต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษนอกเหนือไม่อาจบังคับได้อันเป็นผลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อาจยื่นคำขอภายในกำหนด 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือภายในระยะเวลาตามคำกำหนดของศาล แต่ตามคำขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้อ้างพฤติการณ์พิเศษนอกเหนือไม่อาจบังคับได้ไว้ จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2โดยวิธีปิดหมาย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ทราบคำบังคับหลังจากล่วงพ้นไปแล้ว 15 วัน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อล่วงเลยระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผลจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้
กำหนดระยะเวลา 6 เดือน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208ตอนท้าย จะนำมาใช้บังคับต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษนอกเหนือไม่อาจบังคับได้อันเป็นผลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อาจยื่นคำขอภายในกำหนด 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือภายในระยะเวลาตามคำกำหนดของศาล แต่ตามคำขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้อ้างพฤติการณ์พิเศษนอกเหนือไม่อาจบังคับได้ไว้ จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3572/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องฎีกา และการยื่นคำขอพิจารณาใหม่เกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย
จำเลยที่ 3 มิได้แต่งตั้งให้ป.เป็นทนายความหรือมอบอำนาจให้ป.ฟ้องคดีแทน ป.จึงไม่มีอำนาจยื่นฎีกาแทนจำเลยที่ 3 ฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงเป็นคำคู่ความที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ขึ้นมา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ไม่ได้ พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 โดยวิธีปิดหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 วรรคสอง ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบคำบังคับหลังจากล่วงพ้นไปแล้ว 15 วัน จำเลยที่ 1 และที่ 2ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อล่วงเลยระยะเวลา 15 วันนับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผลจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้ กำหนดระยะเวลา 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 ตอนท้าย จะนำมาใช้บังคับต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษนอกเหนือไม่อาจบังคับได้อันเป็นผลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อาจยื่นคำขอภายในกำหนด 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือภายในระยะเวลาตามคำกำหนดของศาล แต่ตามคำขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้อ้างพฤติการณ์พิเศษนอกเหนือไม่อาจบังคับได้ไว้ จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3430/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีความผิดหลายกรรมต่างท้องที่: ความผิดเกี่ยวพันและการรวมฟ้อง
จำเลยถูกกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เหตุเกิดท้องที่ สภ.อ.เมืองนราธิวาส ปรากฏว่าจำเลยได้ไปแจ้งความที่ สภ อ.สุไหงโก-ลก ว่าเช็คที่จำเลยถูกดำเนินคดีหายไป ซึ่งเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ และฉ้อโกง พนักงานสอบสวน สภ อ. เมือง-นราธิวาส ย่อมมีอำนาจสอบสวนจำเลยเกี่ยวกับความผิดฐานแจ้งความเท็จ และฉ้อโกงได้ เพราะจำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดหลายกรรม กระทำลงในท้องที่ต่าง ๆ กันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 (4) และโจทก์ย่อมฟ้องรวมในฟ้องเดียวกันได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 160 ทั้งความผิดฐานแจ้งความเท็จ มีอัตราโทษเบากว่าความผิดฐานฉ้อโกง และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค แม้จะเป็นการกระทำต่างกรรมต่างสถานที่ แต่ก็ได้กระทำลงโดยจำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดคนเดียวกัน และเป็นความผิดเกี่ยวพันกัน ซึ่งจะฟ้องคดีทุกเรื่องต่อศาลที่มีอำนาจชำระในฐานความผิดซึ่งมีอัตราโทษสูงกว่าก็ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 24 กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ. ให้นำวิธีพิจารณาความในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520โจทก์จึงฟ้องจำเลยในความผิดฐานแจ้งความเท็จ โดยไม่ต้องขอผัดฟ้องพร้อมกับความผิดฐานฉ้อโกง และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คที่ศาลจังหวัดนราธิวาสได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือมอบอำนาจทำให้หนังสือมอบอำนาจสมบูรณ์และผู้มอบอำนาจมีอำนาจฟ้อง
พยานลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี แม้จะไม่ระบุว่าเป็นการรับรองลายพิมพ์นิ้วมือผู้มอบอำนาจก็ถือว่าเป็นการรับรองลายพิมพ์นิ้วมือนั่นเอง การลงลายพิมพ์นิ้วมือจึงถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 9 วรรคสอง หนังสือมอบอำนาจสมบูรณ์ถูกต้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3235/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา & การตรวจสอบใบมอบอำนาจ: เงื่อนไข & ขอบเขต
ป.วิ.พ. มาตารา 47 วรรคสาม อยู่ภายใต้เงื่อนไข ป.วิ.พ.มาตรา 47 วรรคสอง คือต้องเป็นกรณีที่ศาลมีเหตุอันควรสงสัยหรือเมื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่า ใบมอบอำนาจนั้นจะไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริง จึงให้ศาลมีอำนาจสั่งให้คู่ความยื่นใบมอบอำนาจที่ต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ.มาตรา 47 วรรคสาม มิได้หมายความว่า ถ้าเป็นใบมอบอำนาจทุกฉบับจะต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 47 วรรคสาม
แม้โจทก์จะลงชื่อในใบมอบอำนาจในต่างประเทศ แต่ตัวโจทก์ก็ได้มาเบิกความยืนยันว่า โจทก์มอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนและได้ลงชื่อในใบมอบอำนาจจริง จึงไม่มีเหตุอันควรที่ศาลจะสงสัยว่าไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริง และในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยก็ไม่ได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่า ไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริงจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งให้โจทก์ส่งใบมอบอำนาจที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 47 วรรคสาม
ป.วิ.อ. มาตรา 5 เป็นกรณีที่ให้อำนาจบุคคลที่ระบุไว้ในมาตรานี้ มีอำนาจกระทำกิจการที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 3 โดยไม่ต้องมีการมอบอำนาจกัน กิจการใดจะมอบอำนาจกันได้หรือไม่ ต้องเป็นไปตามหลักธรรมดา สุดแต่ว่ากรณีใดมีกฎหมายห้ามหรือเป็นกรณีตามสภาพต้องทำเองหรือไม่ การฟ้องคดีอาญาไม่มีกฎหมายใดบังคับว่า ผู้เสียหายจะต้องทำด้วยตนเองทั้งตามสภาพของการฟ้องคดีอาญา ก็มิใช่เป็นเรื่องที่จะต้องกระทำด้วยตนเองเฉพาะตัว โจทก์จึงมีอำนาจให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนได้
แม้โจทก์จะลงชื่อในใบมอบอำนาจในต่างประเทศ แต่ตัวโจทก์ก็ได้มาเบิกความยืนยันว่า โจทก์มอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนและได้ลงชื่อในใบมอบอำนาจจริง จึงไม่มีเหตุอันควรที่ศาลจะสงสัยว่าไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริง และในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยก็ไม่ได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่า ไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริงจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งให้โจทก์ส่งใบมอบอำนาจที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 47 วรรคสาม
ป.วิ.อ. มาตรา 5 เป็นกรณีที่ให้อำนาจบุคคลที่ระบุไว้ในมาตรานี้ มีอำนาจกระทำกิจการที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 3 โดยไม่ต้องมีการมอบอำนาจกัน กิจการใดจะมอบอำนาจกันได้หรือไม่ ต้องเป็นไปตามหลักธรรมดา สุดแต่ว่ากรณีใดมีกฎหมายห้ามหรือเป็นกรณีตามสภาพต้องทำเองหรือไม่ การฟ้องคดีอาญาไม่มีกฎหมายใดบังคับว่า ผู้เสียหายจะต้องทำด้วยตนเองทั้งตามสภาพของการฟ้องคดีอาญา ก็มิใช่เป็นเรื่องที่จะต้องกระทำด้วยตนเองเฉพาะตัว โจทก์จึงมีอำนาจให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3206/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีและการกระทำแทนของกรรมการบริษัท: การวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบเท่านั้น
คำให้การต่อสู้เพียงว่า นายแสงชัยนายไชยยงค์ และนายเจริญ จะเป็นกรรมการมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ เพียงใด จำเลยไม่รับรองและบุคคลทั้งสามจะมีความสามารถสมบูรณ์ตามกฎหมายเพียงใดหรือไม่ขณะที่ทำหนังสือมอบอำนาจจำเลยไม่ทราบ ลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจในช่องผู้มอบอำนาจ ไม่ใช่ลายมือชื่ออันแท้จริงของผู้มอบอำนาจ เป็นลายมือปลอม ตราประทับก็เป็นตราปลอมเท่านั้น คำให้การดังกล่าวในตอนแรกที่ว่ากรรมการของโจทก์ทั้งสามจะมีอำนาจกระทำแทนโจทก์หรือไม่เพียงใด จำเลยไม่รับรองนั้น เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งถือว่าไม่ได้ทำการปฏิเสธจึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัย ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่านายแสงชัยนายไชยยงค์ และนายเจริญ เป็นกรรมการ ซึ่งกรรมการ 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการดังกล่าวลงชื่อร่วมกันและประทับตราของบริษัทโจทก์มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยในปัญหาว่านายแสงชัยกรรมการคนหนึ่งในจำนวนสองคนของโจทก์ที่ได้ลงชื่อร่วมกันมอบอำนาจให้นายจิรัฐฟ้องคดีนี้ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการโจทก์แล้วหรือไม่จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 3ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 320/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของทายาทในการแบ่งมรดก และขอบเขตคำพิพากษาศาลที่ให้ถอนคำคัดค้านการโอน
ข้อความในคำฟ้องได้บรรยายว่า โจทก์ทั้งสอง ส.และจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ ช.เจ้ามรดกตกลงแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างกันแล้วจำเลยได้คัดค้านการโอนที่ดินมรดกซึ่งเป็นส่วนแบ่งของโจทก์ทั้งสอง จึงขอให้จำเลยถอนคำคัดค้าน ดังนี้โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องในฐานะส่วนตัวหาใช่ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ช.ไม่ โจทก์ทั้งสองย่อมมีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปถอนคำคัดค้านการจดทะเบียนโอนที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มาเป็นทรัพย์มรดกของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ดังนี้ มีความหมายเพียงว่าให้จำเลยไปถอนคำคัดค้านที่จำเลยได้ยื่นคำคัดค้านไว้ในเรื่องที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนโอนที่ดินมาเป็นทรัพย์มรดกของโจทก์ที่ 1 และที่ 2เท่านั้นหาได้มีความหมายเลยไปว่าให้ที่ดินมรดกตามฟ้องตกได้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ด้วยไม่คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่เกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3155/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนและอำนาจฟ้องคดี
ซ.ว่าจ้างโจทก์เป็นทนายฟ้องคดี โดย ซ.จะชำระค่าจ้างให้โจทก์เมื่อได้รับเงินตามฟ้องเรียบร้อยแล้ว เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน เพราะซ.จะได้รับเงินหรือไม่เป็นเหตุการณ์ในอนาคต และไม่แน่นอน ซ.หรือกองมรดกของซ.จะชำระค่าจ้างให้โจทก์ต่อเมื่อเงื่อนไขสำเร็จ เมื่อเงื่อนไขตามสัญญายังไม่สำเร็จโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3155/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างว่าความมีเงื่อนไขบังคับก่อน: อำนาจฟ้องขึ้นอยู่กับการได้รับชำระหนี้ตามฟ้อง
ซ.ว่าจ้างโจทก์เป็นทนายฟ้องคดีโดยซ.จะชำระค่าจ้างให้โจทก์เมื่อได้รับเงินตามฟ้องเรียบร้อยแล้ว เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน เพราะ ซ. จะได้รับเงินหรือไม่เป็นเหตุการณ์ในอนาคต และไม่แน่นอน ซ.หรือกองมรดกของซ.จะชำระค่าจ้างให้โจทก์ต่อเมื่อเงื่อนไขสำเร็จ เมื่อเงื่อนไขตามสัญญายังไม่สำเร็จ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3065/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเปิดทางจำเป็น: ต้องเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกจำกัดสิทธิ
ที่ดินซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็นนั้นเป็นของบุคคลภายนอก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองเปิดทางจำเป็น ดังกล่าว
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบใน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบใน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้