คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำพิพากษา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1015/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการครอบครองแทนเจ้าของเดิม: สิทธิในที่ดินหลังคำพิพากษา
พ. ฟ้อง บ. หาว่าบุกรุกที่นามือเปล่าของตน ขอให้ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง บ. ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของ บ.ในระหว่างพิจารณา ศาลสั่งให้ประมูลค่าเช่านาพิพาทสำหรับปีนั้น(พ.ศ.2496) ฝ่ายใดให้ค่าเช่าสูงก็จะได้ทำนา ให้นำเงินค่าเช่ามาวางศาลไว้ชำระให้ผู้ชนะคดี พ.เป็นฝ่ายประมูลได้ ได้เข้าทำนาพิพาท ปีต่อมาพ.ก็ทำนาพิพาทอีกโดยไม่ยอมประมูลค่าเช่าและเป็นฝ่ายทำนาพิพาทตลอดมา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อ พ.ศ.2500 ซึ่งวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของ พ. พิพากษายืนให้ยกฟ้อง วันที่ 10 ตุลาคม 2503 บ. จึงร้องต่อศาลว่า พ.ยังไม่ออกจากที่พิพาท ขอให้เรียกมาว่ากล่าวพ.แถลงว่าที่พิพาทเป็นของพ. โดยทางครอบครองปรปักษ์แล้วตั้งแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลให้ บ. ทราบ ดังนี้ การที่ พ. ครอบครองที่พิพาทในระหว่างเป็นความกันอยู่ จะถือว่าครอบครองโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนไม่ได้ การที่ได้เข้าครอบครองใน พ.ศ.2496 ก็โดยการประมูลทำนาได้คือ โดยความยินยอมของ บ. ค่าเช่าที่วางศาลก็เพื่อให้แก่ผู้ชนะคดี จึงถือว่าเข้าครอบครองแทนผู้ชนะคดีนั่นเอง เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้องของ พ. แม้จะไม่ได้ชี้ว่าที่พิพาทเป็นของ บ. แต่ พ. ก็ เถียงไม่ได้ว่า บ. ไม่ได้เป็นเจ้าของที่พิพาท เพราะผลของคำพิพากษาย่อมผูกพัน พ. ว่า บ. มี สิทธิในที่พิพาทดีกว่า การที่ พ. ครอบครองที่พิพาทภายหลังจากวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ก็เป็นการครอบครองสืบต่อมาจากการครอบครองในระหว่างคดี ต้องถือว่าครอบครองแทน บ.ผู้ชนะคดีอยู่นั่นเอง จะครอบครองช้านานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ในเมื่อ พ.มิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือหรืออาศัยอำนาจใหม่จากบุคคลภายนอก พ. จะอ้างอายุความการแย่งการครอบครองตามมาตรา 1375 มาใช้ยัน บ.ไม่ได้ บ.มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง
การที่ พ. เข้าทำนาพิพาทนับแต่ พ.ศ.2497 นั้น มิได้ตกลงประมูลค่าเช่ากับ บ. อีกจึงไม่ใช่เนื่องจากสัญญา แต่ก็ไม่เป็นการละเมิด เพราะเข้าครอบครองทำนาพิพาทด้วยความยินยอมของ บ. มาแต่ พ.ศ.2496 และการครอบครองในปีต่อๆ มา ก็ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทน บ.ผู้ชนะคดี การที่ บ. ฟ้องเรียกเงินผลประโยชน์ในการที่ พ. ได้ครอบครองที่พิพาทตั้งแต่ ปี พ.ศ.2497เป็นต้นไปนั้น จึงต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 เพราะการที่ พ. ได้รับประโยชน์จากการเข้าทำนาพิพาทซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นของ บ. นั้น เป็นการได้ทรัพย์มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ แต่ บ.ต้องฟ้องเรียกเอาภายใน กำหนด 1 ปี นับแต่สิ้นฤดูเก็บเกี่ยวของแต่ละปี ซึ่ง บ. ย่อมจะรู้ได้แล้วว่าผู้ทำนาได้รับประโยชน์จากการทำนาเท่าใด ส่วนเงินผลประโยชน์สำหรับระยะเวลาที่พ้นกำหนด 1 ปีแล้ว ย่อมขาดอายุความเรียกคืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงยอมความขยายผลถึงค่าเสียหาย: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิมที่บังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายตามที่ตกลงกัน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าและให้จำเลยให้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 500 บาทด้วย จำเลยให้การว่า เช่าห้องพิพาทเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ๆ ค่าเสียหายของโจทก์อย่างสูงไม่เกินเดือนละ 50 บาท ในการพิจารณาคู่ความตกลงกันว่า จะพิพาทกันเฉพาะประเด็นที่ว่า ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยอันจะได้รับความคุ้มครอง ๆ หรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นข้ออื่นคู่ความตกลงกันสละเสียไม่ถือเป็นข้อพิพาทต่อไปคือ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าห้องพิพาทเป็นเคหะโจทก์ยอมแพ้ ถ้าวินิจฉัยว่าไม่เป็ฯเคหะ จำเลยยอมแพ้ ดังนี้ เมื่อศาลฟังว่าห้องพิพาทไม่เป็นเคหะ จำเลยแพ้คดีตามคำห้า จำเลยก็ต้องใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทด้วย จะอ้างว่าคู่ความตกลงสละประเด็นข้อค่าเสียหายแล้วศาลพิพากษาให้ชำระค่าเสียหายเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและเกินคำขอ ดังนี้ หาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 701/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์ผิดพลาด: ศาลวินิจฉัยว่าการยึดทรัพย์สินที่ไม่ใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ
(1) เมื่อผู้ร้องกล่าวในคำร้องขัดทรัพย์ว่าโจทก์นำยึดได้เฉพาะทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแต่โจทก์กลับไปยึดทรัพย์ของคนอื่นดังนี้ จึงเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าคนอื่นนั้นเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ การวินิจฉัยเช่นนี้ ไม่ใช่นอกประเด็น
(2) เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องซื้อที่พิพาทจากคนอื่นซึ่งไม่ใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์เช่นนี้ย่อมไม่มีประเด็นที่จะพึงวินิจฉัยว่า ที่นั้นคนอื่นได้มาอย่างไรเคยตกอยู่ในกองมรดกของใครหรือไม่
(3) การเรียกค่าธรรมเนียมเป็นดุลพินิจของศาลถ้าเรียกน้อย อาจเรียกเพิ่มได้ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นไม่ควรเรียกก็ไม่ทำให้การพิจารณาคดีเปลี่ยนแปลงไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 517/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ฟ้องเรียกจำเลยใหม่เข้ามาในคดี และขอบเขตการบังคับตามคำพิพากษา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1-2 ปลูกเรือนในที่ดินของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองกับบริวารออกจากที่ดินและรื้อถอนเรือนออกไปต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องว่า เรือนเป็นของมารดาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1-2 อาศัยอยู่ด้วยในฐานะบริวาร ขอให้เรียกมารดาจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 3 ด้วย ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้ขอแก้คำขอท้ายฟ้อง ซึ่งขอให้บังคับจำเลยที่ 1-2 ให้รวมถึงจำเลยที่ 3 ด้วยก็ตาม ศาลก็ย่อมพิพากษาบังคับจำเลยที่ 3 ตามคำขอนั้นได้เพราะตามคำฟ้องเดิมของโจทก์ ประกอบกับคำร้องขอแก้ฟ้องก็ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ต่อจำเลยที่ 3 รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาชัดแจ้งอยู่แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไม่รับฟ้องไม่ถือเป็นคำพิพากษา ฟ้องซ้ำต้องห้ามเฉพาะคำพิพากษาถึงที่สุด
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 3, 18 วรรค 2, 3 และ 5 จะเห็นระบบการดังนี้คือ ในชั้นตรวจคำฟ้องหรือคำคู่ความนั้น ศาลอาจจะกระทำได้เพียง 3 ประการ คือ สั่งรับ สั่งไม่รับ และสั่งคืนไป เท่านั้น เมื่อสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณาแล้วก็จะพิพากษายกฟ้องไม่ได้
คำว่า "ให้ยกเสีย" ในมาตรา 172 กับคำว่า "มีคำสั่งไม่รับ" ในมาตรา 18 กฎหมายประสงค์ให้มีผลอย่างเดียวกัน เพราะคำว่า "ให้ยกเสีย" ตามมาตรา 172 จะถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 ไม่ได้
ในคดีก่อน ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษารายเดียวสั่งในคำฟ้องว่า ไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้ ไม่รับฟ้องไว้พิจารณา ให้ยกฟ้องโจทก์ คำสั่งนี้เป็นคำสั่งเหมือนให้ยกเสียตามมาตรา 172 ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามความในมาตรา 18 เพราะไม่ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 ่เลย เมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ในเรื่องเดียวกันอีก จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 999/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเนื้อที่ดินหลังคำพิพากษาถึงที่สุด ไม่เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยรับข้อเท็จจริงไม่ต้องพิสูจน์
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์ คดีถึงที่สุดโดยจำเลยยอมขายที่ดินให้โจทก์ แต่ต่อมาปรากฏว่า เนื้อที่ดินที่จำเลยยอมขายให้โจทก์ ซึ่งว่ามี 59 ไร่เศษนั้น วัดได้เพียง 21 ไร่เศษโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขอให้ลดราคาที่ดินลงตามส่วน จึงเป็นคนละประเด็นกับที่พิพาทกันในคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องบรรยายว่า เนื้อที่ดินที่จำเลยตกลงขายให้โจทก์มี 59 ไร่เศษ แต่เมื่อรังวัดแล้วมีเพียง21 ไร่เศษ จึงขอให้จำเลยลดราคาลงตามส่วน จำเลยมิได้ปฏิเสธความข้อนี้อย่างใด จึงต้องถือว่า จำเลยรับในข้อที่โจทก์อ้าง โดยโจทก์ไม่จำต้องนำสืบในข้อนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 764/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลทหาร/ศาลพลเรือน: ห้ามฟ้องซ้ำในความผิดเดิมเมื่อมีคำพิพากษาเด็ดขาด
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลทหารฐานร่วมกันพยายามฆ่าคน ศาลทหารพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1,3มิได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด ส่วนจำเลยที่ 2 ฟังว่าได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายบาดเจ็บ ซึ่งความผิดฐานนี้ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารพิจารณาพิพากษาได้จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยทั้งสามพ้นข้อหาไปโจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลพลเรือนใหม่ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถึงบาดเจ็บดังนี้ คดีสำหรับจำเลยที่ 1,3 ถือว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องไปแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ศาลพลเรือนคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเฉพาะจำเลยที่ 2 เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการใช้ค่าเสียหายตามคำสั่งศาลชั่วคราว: คำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเกณฑ์สูงสุด
แม้ในคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ตัดสินให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีจะได้กล่าวไว้ว่า ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายไปจนกว่า โจทก์จะได้ขอถอนคำสั่งห้ามชั่วคราวก็ตาม แต่ในคำพิพากษาศาลฎีกาได้พิพากษาว่า ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายจนกว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ห้ามชั่วคราวนั้นสิ้นสุดลง ดังนี้ ต้องถือตามคำพิพากษาศาลฎีกาและกรณีเช่นนี้ คำสั่งห้ามชั่วคราวนั้นย่อมสิ้นสุดลงวันวันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260 (1) โดยโจทก์ไม่ต้องร้องขอให้ถอนคำสั่งห้ามชั่วคราวนั้นแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 438/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาที่ยอมความได้ ทำให้สิทธิฟ้องระงับ และคำพิพากษาศาลล่างเป็นอันระงับไปด้วย
ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ที่เป็นความผิดอันยอมความได้นั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายขอถอนฟ้องชั้นฎีกา และศาลฎีกาสั่งอนุญาตแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไป คำพิพากษาศาลล่างก็ย่อมระงับไปด้วยในตัวไม่จำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างซึ่งให้ลงโทษจำเลยไว้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 12/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 438/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาที่ยอมความได้ ทำให้สิทธิฟ้องระงับ และคำพิพากษาศาลล่างสิ้นผล
ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ที่เป็นความผิดอันยอมความได้นั้นเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายขอถอนฟ้องชั้นฎีกา และศาลฎีกาสั่งอนุญาตแล้วสิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไป คำพิพากษาศาลล่างก็ย่อมระงับไปด้วยในตัว ไม่จำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างซึ่งให้ลงโทษจำเลยไว้(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 12/2505)
of 189