คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ลูกจ้าง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,226 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3073/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รายงานเท็จต้องเป็นข้อมูลปัจจุบันหรืออดีต การกำหนดเงื่อนไขชำระเงินในอนาคตไม่ถือเป็นรายงานเท็จ
การกระทำความผิดฐานรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชานั้น จะต้องเป็นกรณีที่ลูกจ้างรายงานเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตหรือในปัจจุบันไม่ตรงต่อความจริง โดยรู้ถึงเหตุการณ์ที่แท้จริงอยู่แล้ว การที่ลูกจ้างรายงานถึงเหตุการณ์ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น แม้ในเวลาต่อมาจะไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหรือมิได้เป็นไปดังรายงานก็ตามก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา
ลูกจ้างทำรายงานขออนุมัติซื้อแบตเตอรี่ของนายจ้างโดยกำหนดว่าจะชำระเงินภายใน 30 วันนับแต่วันรับของ เมื่อถึงกำหนดลูกจ้างมิได้ชำระเงินแก่นายจ้าง ดังนี้เป็นเพียงลูกจ้างผิดนัดชำระหนี้หรือผิดสัญญา เท่านั้น จะถือว่าเป็นรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาหาได้ไม่ แม้จะมีประกาศของนายจ้างกำหนดว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดและนายจ้างไม่สามารถหักรายได้ของลูกจ้างชำระค่าแบตเตอรี่ได้ในเวลากำหนดถือว่าเป็นรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาก็ไม่มีผลทำให้รายงานของลูกจ้างนั้นกลับกลายเป็นรายงานเท็จไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2989-2991/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิเรียกร้องเงินบำเหน็จโดยเอกสารที่นายจ้างจัดทำขึ้น ย่อมผูกพันลูกจ้าง
เงินบำเหน็จเป็นเงินที่นายจ้างตอบแทนคุณความดีของลูกจ้างที่ได้ทำงานร่วมกับนายจ้างด้วยดีตลอดมาเงินประเภทนี้กฎหมายมิได้บังคับนายจ้างว่าจะต้องจ่ายแก่ลูกจ้าง นายจ้างจะจ่ายให้หรือไม่ ด้วยหลักเกณฑ์อย่างไรแล้วแต่จะเห็นสมควรข้อพิพาทเกี่ยวด้วยเงินบำเหน็จจึงมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน นายจ้างและลูกจ้างทำข้อตกลงให้ระงับสิทธิเรียกร้องเงินบำเหน็จจากนายจ้างได้
แบบพิมพ์ดีดเอกสารซึ่งนายจ้างจัดทำขึ้นระบุรายการเกี่ยวกับเงินต่างๆ ตามสิทธิและตามกฎหมายที่ลูกจ้างจะได้รับจากนายจ้างและระบุว่าลูกจ้างได้รับเงินค่าชดเชยและเงินบำเหน็จตามจำนวนที่ระบุไว้ เมื่อเอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุไว้ด้วยว่าลูกจ้างไม่ติดใจเรียกร้องเงิน สิทธิ และประโยชน์อื่นใดจากนายจ้างอีกทั้งสิ้น ดังนี้ ลูกจ้างได้สละสิทธิเรียกร้องบำเหน็จนอกเหนือจากที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวแล้ว ลูกจ้างย่อมถูกผูกพันตามข้อความนั้น และไม่มีสิทธิจะเรียกร้องเงินบำเหน็จส่วนที่ขาดอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2839/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาคำตักเตือนและการเลิกจ้าง: คำตักเตือนมีอายุจำกัด พิจารณาพฤติการณ์เป็นรายกรณี
ลูกจ้างเข้าทำงานกะบ่ายตั้งแต่เวลา 15 นาฬิกา ซึ่งจะ ต้องทำงานจนถึงเวลา 23 นาฬิกา แต่เวลา 22.55 นาฬิกา ลูกจ้างออกไปนอกบริษัทนายจ้างโดยไม่มีบัตรผ่าน และไม่ได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาก่อนแล้วกลับเข้ามาปั๊มบัตรลงชื่อเลิกงานตามกะ ดังนี้ลูกจ้างไม่ทำงานให้นายจ้างเพียง 5 นาที การปั๊มบัตรลงชื่อทำงานเต็มเวลา 8 ชั่วโมงนั้น เกิดโทษแก่บริษัทนายจ้างน้อยมาก ยังไม่พอถือว่าลูกจ้างทำการทุจริตต่อหน้าที่และยังไม่เป็นการกระทำผิดทางอาญาแก่นายจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 47 (1)
แม้ประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 47 (3) มิได้กำหนดว่าคำตักเตือนเป็นหนังสือมีระยะเวลานานเท่าใดจึงจะหมดอายุหรือระยะเวลานานเท่าใด จึงจะเป็นระยะเวลาที่นานเกินสมควรที่ไม่สามารถนำมาเป็นเหตุในการเลิกจ้างโดยไม่ ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่ก็ไม่หมายความว่าเมื่อนายจ้าง ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว คำตักเตือนนั้นจะมีผลอยู่ตลอดไปหากลูกจ้างรู้สำนึกตัวและปรับปรุงแก้ไขการทำงานการประพฤติ ตัวของตนแล้วคำตักเตือนนั้นก็ควรสิ้นผลไปและการพิจารณาว่าระยะเวลาคำตักเตือนเป็นหนังสือกับการฝ่าฝืน ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างครั้งหลัง เป็นระยะเวลาเนิ่นนานหรือไม่เพียงใดนั้นจะต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นเรื่อง ๆ ไป
โจทก์ออกไปนอกบริเวณโรงงานเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงงานเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2526 เป็นเวลา 10 นาทีและได้รับคำเตือนเป็นหนังสือแล้วต่อมาโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ อีก ในวันที่ 16 เมษายน 2527 โดยออกจากบริเวณโรงงานก่อนครบกำหนดกะทำงาน 5 นาทีดังนี้เมื่อพิจารณาถึงเหตุที่ โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ ความเสียหายการงานของบริษัทจำเลย ซึ่งเป็นนายจ้างและระยะเวลาของคำตักเตือนเป็นหนังสือครั้งแรกกับการกระทำผิดครั้งนี้แล้วถือว่าคำตักเตือนนั้นมีอายุเนิ่นนานเกินสมควรที่จะนำมาพิจารณาสำหรับการเลิกจ้างในการฝ่าฝืนข้อบังคับฯ ครั้งหลัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2644/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกจ้างต้องชัดเจน การให้ทำสัญญาใหม่ไม่ถือเป็นการเลิกจ้าง หากลูกจ้างยังมีความสัมพันธ์นายจ้างอยู่ ไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชย
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยปฏิบัติหน้าที่บกพร่องทำให้เกิดความ เสียหาย ศ. ลูกจ้างฝ่ายบุคคลของจำเลยซึ่งมีหน้าที่ควบคุม ดูแลพนักงานและมีอำนาจเลิกจ้างลูกจ้างแทนจำเลยได้สอบถาม โจทก์โจทก์รับสารภาพ ศ.พอใจในความซื่อตรงของโจทก์จึง ยอมยกโทษให้และให้โจทก์ทำสัญญาจ้างใหม่โดยกล่าวว่า 'ถ้า ไม่เขียนใบสมัครใหม่ ก็ให้ออกจากงาน' ดังนี้ เป็นเรื่อง ศ. ต้องการกลบเกลื่อนความผิดของโจทก์โดยให้ทำสัญญาจ้าง ใหม่คำกล่าวของ ศ.นั้นไม่ใช่คำสั่งเด็ดขาดที่มีเงื่อนไข ว่าถ้าไม่เขียนใบสมัครก็ให้ถือว่าเป็นการเลิกจ้างไปในตัว หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามก็เป็นเรื่องที่จะพิจารณาโทษหรือ มีคำสั่งเป็นกิจจะลักษณะอีกชั้นหนึ่ง พฤติการณ์ดังกล่าวถือ ไม่ได้ว่า ศ. บอกเลิกการจ้างโจทก์แล้ว
เมื่อวันที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้นโจทก์จำเลยยังมีความสัมพันธ์เป็นลูกจ้างนายจ้างกันอยู่โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแม้จำเลยจะให้การรับว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ในวันต่อมาก็เป็นเรื่องนอกฟ้อง ศาลไม่อาจวินิจฉัยเหตุเลิกจ้างตามข้อต่อสู้ของจำเลยได้ ต้องยกฟ้อง โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงสภาพการจ้างและการสอบสวนทุจริต: การติดต่อผู้กล่าวหาเป็นเงื่อนไขสำคัญในการคุ้มครองสิทธิลูกจ้าง
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกำหนดว่า หากมีผู้ร้องเรียน เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของพนักงานจำเลย ให้จำเลยสืบสวน เบื้องต้นว่ากรณีมีมูลความจริงหรือไม่ถ้ามีมูลให้ตั้ง คณะกรรมการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหา และถ้าผู้ถูกกล่าวหาปฏิเสธก็ ต้องติดต่อให้ผู้กล่าวหามาให้การสอบสวนเพิ่มเติมหากมิได้ ดำเนินการดั่งกล่าวให้ยกประโยชน์ให้ผู้ถูกกล่าวหา โจทก์ถูก กล่าวหาว่ากระทำการทุจริตในการจำหน่ายตั๋วโดยสาร จำเลยจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนโจทก์คณะกรรมการได้ปฏิบัติตามข้อตกลงโดยติดต่อผู้กล่าวหาแล้ว โจทก์ ผู้ถูกกล่าวหาจะได้รับประโยชน์จากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการค้าดังกล่าวต้องเป็นกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนมิได้ดำเนินการให้ผู้กล่าวหามาให้การเลยส่วนการที่ผู้กล่าวหาไม่ยินยอมมา ให้การนั้น คณะกรรมการก็ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐาน อื่นเท่าที่ปรากฏอยู่ต่อไปว่าโจทก์ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหานั้นหรือไม่ โจทก์จึงไม่ได้รับประโยชน์ตาม ข้อตกลงดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำงานเกินเวลาและค่าจ้าง: สัญญาจ้างแรงงานที่ตกลงทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวันและรับค่าจ้างรายเดือนไม่ขัดกฎหมาย หากได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมแรงงาน
กรณีที่อธิบดีกรมแรงงานอนุญาตให้นายจ้างมีสิทธิสั่งให้ลูกจ้างทำงานเกินกำหนดเวลาปกติตามกฎหมายได้นั้น นายจ้างกับลูกจ้างย่อมทำสัญญาให้ลูกจ้างทำงานเกินกำหนดเวลาและจ่ายค่าจ้างกันเท่าใดก็ได้ เมื่อลูกจ้างยินยอมทำงานวันละ 12 ชั่วโมงโดยรับค่าจ้างเป็นรายเดือนอันมิใช่เป็นกรณีที่นายจ้างเพิ่มชั่วโมงทำงานในภายหลังและไม่ปรากฏว่าค่าจ้างต่ำกว่าอันตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย ข้อตกลงนี้ไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายและผูกพันลูกจ้างกับนายจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2354/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างหลังศาลอนุญาต: ผลผูกพันตามคำสั่งศาลและความสุจริตของนายจ้าง
ก่อนจำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง จำเลย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ เป็นการปฏิบัติถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการแล้ว เมื่อศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้จำเลยจึง มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์แม้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางที่อนุญาต ให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์จะยังไม่ถึงที่สุดคำพิพากษาดังกล่าว ก็ย่อมมีผลใช้บังคับได้และผูกพันคู่ความเพราะยังไม่มีคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่ามาเปลี่ยนแปลงการกระทำของจำเลย จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2354/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างหลังได้รับอนุญาตจากศาล: ผลผูกพันทางกฎหมายและการไม่ถือเป็นการละเมิด
ก่อนจำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง จำเลย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ เป็น การปฏิบัติถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการแล้วเมื่อศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้จำเลยจึง มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์แม้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางที่อนุญาต ให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์จะยังไม่ถึงที่สุด คำพิพากษาดังกล่าว ก็ย่อมมีผลใช้บังคับได้และผูกพันคู่ความเพราะยังไม่มีคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่ามาเปลี่ยนแปลงการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อบังคับบริษัทที่ระบุรวมค่าชดเชยเฉพาะส่วนเกินตามกฎหมายแรงงาน ไม่ครอบคลุมค่าชดเชยตามกฎหมายทั้งหมด
เงินบำเหน็จที่โจทก์ได้รับไปคำนวณตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยภาคผนวก 3 ข้อ 3 ก. ซึ่งข้อ 4 ก. กำหนดว่า 'เงินบำเหน็จที่กล่าวในข้อ 3 จะถือว่าได้รวม ไว้แล้วซึ่งเงินค่าชดเชยที่บริษัทพึงจ่ายตามภาคผนวก 5 ใน ส่วนที่เกินกว่าจำนวนที่กฎหมายแรงงานกำหนด'และภาคผนวก 5 กำหนดว่า 'ค่าชดเชย (1) ลูกจ้างซึ่งให้ออกจากงานเพราะ มีลูกจ้างเกินอัตราหรือลูกจ้างซึ่งถูกให้ออกจากงานโดย ไม่มีความผิดมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน (2) กรณีลูกจ้างถูกให้ออกจากงาน ถ้าเป็นลูกจ้างซึ่งทำงานมาเกินกว่า 6 ปีแล้วให้ลูกจ้างผู้นั้นมีสิทธิ ได้รับเงินชดเชยเพิ่มขึ้นอีกในอัตราเท่ากับเงินเดือนของแต่ละปี เป็นจำนวน 1 เดือนต่อปี ฯลฯ' ดังนี้เห็นได้ว่า เงินบำเหน็จคงรวมไว้แล้วซึ่งค่าชดเชยเฉพาะในส่วนที่เกิน กว่าจำนวนที่กฎหมายแรงงานกำหนดคือตามภาคผนวก 5 (2) เท่านั้นมิได้รวมถึงค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายแรงงาน ตามภาคผนวก 5 (1) เงินบำเหน็จที่โจทก์รับไปแล้วจึงไม่มี ค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานรวมอยู่ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2299/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การประกอบธุรกิจส่วนตัวในเวลางาน และการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน
ข้อบังคับการทำงานของจำเลยกำหนดว่า พนักงานต้องอุทิศเวลาให้แก่บริษัทฯ ไม่มาสายหรือกลับก่อนเวลาทำงาน หรือหลับในเวลาปฏิบัติงานหรือปฏิบัติงานล่าช้าโดยเจตนาหรือหลีกเลี่ยงการทำงาน ฯลฯ ดังนั้น การที่โจทก์ใช้เวลาทำงานประกอบธุรกิจส่วนตัวย่อมถือว่าปฏิบัติงานล่าช้าโดยเจตนาและหลีกเลี่ยงการงานอยู่ในตัวแล้ว โจทก์จึงได้ชื่อว่าไม่อุทิศเวลาให้แก่นายจ้าง เมื่อไม่ปรากฏว่าการประกอบธุรกิจส่วนตัวของโจทก์เกิดขึ้น ก่อนหรือหลังจากที่จำเลยเพิ่มค่าจ้างให้โจทก์แล้ว จึงไม่อาจถือเอาการเพิ่มค่าจ้างเป็นข้อยกเว้นว่าการประกอบธุรกิจส่วนตัวในเวลาทำงานไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงาน เพราะการจะพิจารณาว่านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าการเลิกจ้างนั้นมีสาเหตุอันควรหรือไม่ หากนายจ้างเลิกจ้างโดยปราศจากสาเหตุหรือเป็นการกลั่นแกล้งลูกจ้าง การเลิกจ้างนั้นจึงจะเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ใช้เวลาทำงานประกอบธุรกิจส่วนตัวภายในสำนักงาน เป็นเหตุให้พนักงานอื่นต้องหยุดการทำงานเพื่อเลือกสรรเครื่องประดับที่โจทก์นำมาเสนอขายการกระทำของโจทก์ถือได้ว่ากระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่การกระทำของโจทก์ดังกล่าวยังไม่ถึงขั้นเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3)
การที่โจทก์แนะนำคนรู้จักหรือญาติพี่น้องเข้าสมัครทำงานกับจำเลยแล้วคัดเลือกใบสมัครเฉพาะพรรคพวกของโจทก์ส่งไป ทั้งที่มีผู้สมัครหลายราย แต่โจทก์แจ้งว่ามีผู้สมัครเฉพาะเท่าที่โจทก์ส่งไป เป็นการตัดโอกาสที่จำเลยจะคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมได้ แม้โจทก์จะได้รับความยำเกรงจากผู้ที่ได้รับคัดเลือกและเป็นการสร้างสมบารมีก็ไม่ใช่เป็นผลประโยชน์ในเชิงทรัพย์สินการกระทำของโจทก์หาเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(1) ไม่
of 223