คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 789/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในคดีบังคับคดี: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยแม้มีข้อตกลงสละประเด็น และคู่ความมีสิทธิขออธิบายคำพิพากษาในชั้นบังคับคดี
เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีใดว่าลูกหนี้จะต้องรับผิดเพียงใด ย่อมเป็นเรื่องที่คู่ความจะต้องดำเนินการในคดีนั้นเพื่อขอคำวินิจฉัยจากศาล แม้ คดีนั้นจะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แต่ในชั้นบังคับคดี เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย คู่ความก็ยังมีสิทธิขอให้ศาลอธิบายคำพิพากษาได้
การที่โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนกลับมาฟ้องจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนเกี่ยวกับหนี้จำนองซึ่งศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับชำระหนี้รายเดียวกันนั้นอีก ย่อมเป็นฟ้องซ้ำเพราะเป็นคู่ความเดียวกัน และศาลต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน
ปัญหาเรื่องฟ้องซ้ำ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะตกลงกันขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นอื่น และสละประเด็นข้อฟ้องซ้ำเมื่อศาลเห็นสมควรก็ยังมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของฟ้องอาญาและการเลือกปรับบทลงโทษ: ศาลมีอำนาจพิจารณาจากข้อเท็จจริงแม้โจทก์ขอหลายมาตรา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานบังอาจยักยอกทรัพย์ของทางราชการที่จำเลยได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษาโดยนำไปขายให้ผู้อื่น อันเป็นการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,151,157,158, 352 และ 353 เช่นนี้ เมื่อมาตราดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่บรรยายในฟ้องทั้งสิ้น และการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดตามมาตราใดย่อมเป็นหน้าที่ของศาลจะพึงเลือกปรับบทลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และเมื่อศาลปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นการลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาที่โจทก์สืบสมตามข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลพลเรือนในการไต่สวนชันสูตรพลิกศพคดีทหารทำผิดอาญา ต้องอยู่ในอำนาจศาลพลเรือนเท่านั้น
ศาลพลเรือนจะทำการไต่สวนและมีคำสั่งในการชันสูตรพลิกศพแต่เฉพาะคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือนเท่านั้น
แม้การไต่สวนและทำคำสั่งของศาลชั้นต้นตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 150 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อาจเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน แต่ก็เป็นวิธีการพิเศษที่บัญญัติให้ศาลต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในชั้นสอบสวน เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง ให้ศาลทหารมีอำนาจเข้าเกี่ยวข้องในชั้นสอบสวน และพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร มิได้บัญญัติวิธีการพิเศษให้ศาลเข้าเกี่ยวข้องในการสอบสวนด้วย ก็หาใช่เรื่องที่ศาลพลเรือนมีอำนาจดำเนินการแทนด้วยไม่ และเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนย่อมไม่ต้องดำเนินการดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 วรรคสาม
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 30/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2235/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแบ่งทรัพย์สินมรดกตามคำฟ้อง และการไม่ถือว่าภาพจำลองวัตถุเป็นพยานเอกสาร
โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาแบ่งทรัพย์สินตามบัญชีท้ายฟ้องให้ พ. กับ ส. คนละส่วนเท่าๆ กัน เป็นเงิน 37,935 บาทถ้าไม่สามารถแบ่งเป็นเงินได้. ขอให้ศาลขายทอดตลาดแบ่งเงินให้ พ. กับ ส. คนละส่วนเท่าๆ กัน เป็นเงินคนละ 37,935 บาทให้จำเลยเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ศาลพิพากษาให้ พ. กับ ส.และจำเลยแบ่งทรัพย์สินระหว่างกันเองก่อน เมื่อไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูลระหว่างกันเอง ถ้าไม่ตกลงกัน ให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใด ให้แบ่งกันตามส่วน ไม่เป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง เมื่อจำเลยอุทธรณ์ จำเลยก็เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในวิธีแบ่งทรัพย์เช่นนี้ คำขอท้ายฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยก็ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแบ่งทรัพย์โดยวิธีนี้ จำเลยจะอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งเช่นนี้ไม่ชอบไม่ได้
ภาพถ่ายที่เป็นภาพจำลองวัตถุ ไม่ใช่พยานเอกสารอันจะต้องส่งสำเนาให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันสืบพยานดังบังคับไว้ในมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2235/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแบ่งทรัพย์สินมรดกและการพิจารณาภาพถ่ายเป็นพยานหลักฐาน
โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาแบ่งทรัพย์สินตามบัญชีท้ายฟ้องให้ พ.กับส. คนละส่วนเท่าๆ กัน เป็นเงิน 37,935 บาทถ้าไม่สามารถแบ่งเป็นเงินได้. ขอให้ศาลขายทอดตลาดแบ่งเงินให้ พ.กับส. คนละส่วนเท่าๆ กัน เป็นเงินคนละ 37,935 บาท ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ศาลพิพากษาให้ พ.กับส. และจำเลยแบ่งทรัพย์สินระหว่างกันเองก่อน เมื่อไม่สามารถแบ่งได้ ให้ประมูลระหว่างกันเอง ถ้าไม่ตกลงกัน ให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใด ให้แบ่งกันตามส่วน ไม่เป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง เมื่อจำเลยอุทธรณ์ จำเลยก็เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในวิธีแบ่งทรัพย์เช่นนี้ คำขอท้ายฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยก็ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแบ่งทรัพย์โดยวิธีนี้ จำเลยจะอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งเช่นนี้ไม่ชอบไม่ได้
ภาพถ่ายที่เป็นภาพจำลองวัตถุ ไม่ใช่พยานเอกสาร อันจะต้องส่งสำเนาให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันสืบพยานดังบังคับไว้ในมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1963/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการปล่อยตัวนักโทษตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ: ศาลจังหวัดนนทบุรีมีอำนาจเหนือศาลทหารกรุงเทพ
จำเลย (ที่ 1) ถูกศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ตัดสินให้ประหารชีวิตเมื่อ พ.ศ.2503 แต่จำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษ 2 ครั้งตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2504 และ พ.ศ. 2506 ลดโทษลงเป็นจำคุก 20 ปี นับแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2502 จำเลยจึงเป็นนักโทษเด็ดขาด ถูกจำคุกไว้ที่เรือนจำกลางบางขวาง ครั้นต่อมาได้มี พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2514 ออกใช้บังคับ ซึ่งผู้ร้องผู้เป็นภริยาจำเลยเห็นว่า ตามความในมาตรา 5(จ)
จำเลยอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ก็ยังมิได้รับการพิจารณาสั่งปล่อย ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 โดยถือว่าจำเลยถูกควบคุมโดยผิดกฎหมาย การยื่นคำร้องดังกล่าวนั้นต้องยื่นต่อศาลจังหวัดนนทบุรีตามความในมาตรา 4 และมาตรา 9 แห่งพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว ซึ่งให้อำนาจแก่ศาลแห่งท้องที่ที่ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษอยู่ในเขตมีอำนาจออกหมายสั่งปล่อย หาใช่ศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) ไม่ เพราะมิใช่เป็นการกล่าวอ้างว่าถูกจำคุก ผิดจากคำพิพากษาของศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1952/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิมรดกของบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรอง และขอบเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยประเด็นนอกเหนือจากอุทธรณ์
บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว มีสิทธิได้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629(1)
ศาลอุทธรณ์มีอำนาจเพียงแต่พิจารณาฟ้องอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ เอกสารและพยานหลักฐานในสำนวน ไม่มีอำนาจที่จะไปวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็น ที่ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลทหาร-ศาลพลเรือน: กรณีทหารเรือกระทำผิดต่อพลเรือนและประเด็นภูมิลำเนาในการฟ้องคดีแพ่ง
ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นทหารเรือประจำการจึงเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร แม้จำเลยจะได้กระทำความผิดอาญาต่อพลเรือนก็ต้องฟ้องจำเลยที่ศาลทหารตามที่บังคับไว้ในพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498
คดีแพ่งที่ต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่ 2 แห่ง คือ ที่จังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมแห่งหนึ่งกับที่นครหลวงกรุงเทพธนบุรีอันเป็นถิ่นที่ทำการงานเป็นปกติอีกแห่งหนึ่ง โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดราชบุรี จึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการไม่บังคับชำระเงินตามข้อกำหนดดูแลเด็กที่กระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 77
จำเลยอายุไม่เกิน 14 ปี กระทำความผิด ศาลได้สั่งให้มอบตัวแก่บิดาจำเลยรับไปดูแล หากจำเลยก่อเหตุร้ายขึ้นภายใน 3 ปี ให้บิดาจำเลยชำระเงินต่อศาลครั้งละ 500บาทต่อมาจำเลยกระทำผิดอีก ศาลจึงสั่งให้ปรับบิดาจำเลยตามข้อกำหนดดังกล่าว และต่อมาจำเลยยังได้กระทำความผิดอีกเป็นครั้งที่สองในเวลากระชั้นชิดกัน สุดความสามารถที่บิดาจะควบคุมดูแลได้กับปรากฏว่าบิดาจำเลยเป็นคนยากจนด้วยเช่นนี้ ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่บังคับให้บิดาจำเลยชำระเงินตามข้อกำหนดสำหรับการก่อเหตุร้ายของจำเลยครั้งที่สองเสียได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 77 มิใช่บทบังคับเด็ดขาดว่า ในกรณีที่เด็กก่อเหตุร้ายขึ้นแล้ว ศาลจักต้องบังคับบิดาฯให้ชำระเงินตามข้อกำหนดเสมอไปโดยศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจเพียงให้ชำระเงินน้อยกว่าที่ได้กำหนดไว้เท่านั้น แต่ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควรก็อาจไม่บังคับให้ชำระเงินเลยก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวงและการอุทธรณ์คำพิพากษา ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 22 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ
คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงพิจารณาพิพากษาเมื่อศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้วว่าไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ย่อมอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 22 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ ห้ามโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
แม้ศาลชั้นต้นจะได้กล่าวความไว้ในคำพิพากษามีข้อความต่าง ๆ ดังที่โจทก์อ้างว่าเป็นเรื่องนอกสำนวนหรือมีข้อเท็จจริงผิดไปจากสำนวนก็ดีเมื่อข้อความเหล่านั้นไม่เป็นข้อความสำคัญอันเป็นประเด็นข้อแพ้ชนะทั้งศาลชั้นต้นก็มิได้อาศัยเฉพาะความตามที่โจทก์ยกขึ้นอ้างนั้นแต่ประการเดียวเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ อุทธรณ์โจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
of 222