พบผลลัพธ์ทั้งหมด 436 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิง พยานหลักฐานสนับสนุนคำเบิกความผู้เสียหายเพียงพอให้ลงโทษได้
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยคนหนึ่งกับมี ป.น.จ. และ ช. เป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีโดยป. เบิกความสนับสนุนว่าเมื่อ ป. ให้เสียงเพื่อให้คนร้ายหนีก็เห็นจำเลยวิ่งออกจากที่เกิดเหตุไป ขณะ ป.ช่วยสวมเสื้อผ้าให้ผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกว่าจำเลยเป็นคนร้าย ส่วน น.จ. และ ช. เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่า ในคืนนั้นหลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้ระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้าย ประกอบกับมีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยฟังเจือสมกับคำเบิกความของผู้เสียหายด้วย ดังนี้ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกระทำผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1213/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราผู้เยาว์โดยใช้กำลังประทุษร้าย แม้ผู้เสียหายหมดสติก็มี罪
ผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงอายุยังไม่เกิน 18 ปี เข้าไปนั่งรวมอยู่ในกลุ่มจำเลยเพราะถูกชายในกลุ่มจำเลยหลอก ผู้เสียหายไม่ได้มีความสมัครใจที่จะเข้าไปนั่งรวมกลุ่มและไม่สมัครใจที่จะไปกับพวกของจำเลยเมื่อผู้เสียหายเดินกลับบ้าน พวกจำเลยเอายาสลบโปะ จมูกจนหมดสติไปผู้เสียหายรู้สึกตัวอีกครั้งพบว่านอนอยู่บนเตียง เสื้อผ้าถูกถอดออกหมด รู้สึกเจ็บที่อวัยวะเพศ มีน้ำไหลออกมาจากอวัยวะเพศเลอะ ตามช่วงขาจำเลยกับพวกอยู่ในห้องด้วย จำเลยนั่งอยู่ปลายเตียง ขณะนั้นทุกคนรวมทั้งจำเลยไม่สวมเสื้อ สวมแต่กางเกงในตัวเดียว ตามพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าผู้เสียหายได้ถูกข่มขืนกระทำชำเราโดยชายในกลุ่มนั้นซึ่งมีจำเลยรวมอยู่ด้วยแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันกับพวกฉุดคร่าพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วย ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังและข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน อย่างไรก็ดีผู้เสียหายไม่อาจยืนยันได้ว่ามีใครในพวกจำเลยบ้างจำนวนกี่คนที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เพราะขณะนั้นผู้เสียหายหมดสติไป จึงยังไม่พอให้ฟังว่าพวกของจำเลยอย่างน้อยตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว อันจะถือว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงได้ จำเลยจึงยังไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยไม่ร่วมข่มขืน แต่กระทำอนาจารผู้เสียหาย ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ลงโทษฐานกระทำอนาจาร
จำเลยไม่ได้ร่วมกับผู้หลบหนีข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 12 ปี ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องเฉพาะข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ข้อเท็จจริงส่วนนี้จึงถึงที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ส่วนปัญหาว่า จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายอันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคแรก ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำอนาจารผู้เสียหาย ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตาม ป.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5881/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง โดยการพยายามกระทำความผิดไม่สมบูรณ์และเจตนาในการกระทำ
จำเลยกระทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายไปไม่ตลอดเพราะผู้เสียหายยังเล็ก อวัยวะเพศของจำเลยไม่สามารถเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายได้ จำเลยไม่ได้ยับยั้งไม่กระทำการให้ตลอดเสียเองกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นเหตุไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5881/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็ก โดยการพยายามกระทำความผิดแม้ไม่สำเร็จ และการลงโทษที่เหมาะสม
จำเลยกระทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายไปไม่ตลอดเพราะผู้เสียหายยังเล็ก อวัยวะเพศของจำเลยไม่สามารถเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายได้ จำเลยไม่ได้ยับยั้งไม่กระทำการให้ตลอดเสียเองกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นเหตุไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5648/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ครูอนาจารนักเรียน, พรากผู้เยาว์, ข่มขืนกระทำชำเรา, ศาลยืนโทษหนัก
ความผิดฐานอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรกศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย 3 ปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
จำเลยเรียกผู้เสียหายไปบ้านจำเลยขณะภรรยาของจำเลยไม่อยู่บ้าน และจำเลยกอดผู้เสียหายในขณะที่นั่งดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลย การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปบ้านของตนขณะไม่มีคนอยู่บ้านและกระทำการแสดงออกที่ไม่สมควรทางเพศเช่นนั้น เป็นการบ่งชี้เจตนาให้เห็นตั้งแต่มาเรียกผู้เสียหายไปจากบ้านของผู้เสียหายเพื่อไปบ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างไกล แสดงให้เห็นว่ามีจุดมุ่งหมายที่จะพาไปเพื่อการไม่สมควรทางเพศ แม้ว่าขณะพาไปมารดาของผู้เสียหายไปทำงานไม่ได้อยู่บ้านก็ตามต้องถือว่าผู้เสียหายอยู่ในความปกครองดูแลของมารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารนั้นเป็นการแยกผู้เยาว์ไปจากอำนาจปกครองของมารดาโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม
จำเลยเป็นครูมีหน้าที่ที่จะต้องสร้างเยาวชนให้เป็นคนดีมีความสามารถและเป็นอาชีพที่บุคคลทั่วไปให้ความเคารพนับถือ แต่จำเลยกลับกระทำการอันเป็นเรื่องบัดสีต่อนักเรียนที่จะต้องให้การอบรมโดยอาศัยความเกรงกลัวและความเคารพนับถือที่นักเรียนมีต่อครู มาเป็นโอกาสกระทำการจนผู้เสียหายซึ่งอยู่ในวัยที่ต้องเจริญเติบโตต้องมาเสียอนาคตไปกับการกระทำของจำเลย จึงไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะให้ความปรานีแก่จำเลยได้
จำเลยเรียกผู้เสียหายไปบ้านจำเลยขณะภรรยาของจำเลยไม่อยู่บ้าน และจำเลยกอดผู้เสียหายในขณะที่นั่งดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลย การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปบ้านของตนขณะไม่มีคนอยู่บ้านและกระทำการแสดงออกที่ไม่สมควรทางเพศเช่นนั้น เป็นการบ่งชี้เจตนาให้เห็นตั้งแต่มาเรียกผู้เสียหายไปจากบ้านของผู้เสียหายเพื่อไปบ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างไกล แสดงให้เห็นว่ามีจุดมุ่งหมายที่จะพาไปเพื่อการไม่สมควรทางเพศ แม้ว่าขณะพาไปมารดาของผู้เสียหายไปทำงานไม่ได้อยู่บ้านก็ตามต้องถือว่าผู้เสียหายอยู่ในความปกครองดูแลของมารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารนั้นเป็นการแยกผู้เยาว์ไปจากอำนาจปกครองของมารดาโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม
จำเลยเป็นครูมีหน้าที่ที่จะต้องสร้างเยาวชนให้เป็นคนดีมีความสามารถและเป็นอาชีพที่บุคคลทั่วไปให้ความเคารพนับถือ แต่จำเลยกลับกระทำการอันเป็นเรื่องบัดสีต่อนักเรียนที่จะต้องให้การอบรมโดยอาศัยความเกรงกลัวและความเคารพนับถือที่นักเรียนมีต่อครู มาเป็นโอกาสกระทำการจนผู้เสียหายซึ่งอยู่ในวัยที่ต้องเจริญเติบโตต้องมาเสียอนาคตไปกับการกระทำของจำเลย จึงไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะให้ความปรานีแก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5398/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามข่มขืนกระทําชําเราเด็กอายุไม่เกินสิบสามปี และการปรับบทลงโทษตามกฎหมายอาญา
จําเลยถ่างขาของโจทก์ร่วมออก ขึ้นคร่อมบนตัวโจทก์ร่วม เอาอวัยวะเพศของตนใส่เข้าไปที่อวัยวะเพศ ของโจทก์ร่วม แต่อวัยวะเพศของจําเลยมิได้ล่วงล้ําเข้าไปในช่องคลอด เพราะเยื่อพรหมจารียังปกติอยู่ แต่ บริเวณปากช่องคลอดและแคมในทั้งสองข้างแดง ผิดปกติ แสดงว่าจําเลยพยายามสอดใส่อวัยวะเพศของตน เข้าไปในช่องคลอดของโจทก์ร่วมแต่กระทําไม่สําเร็จ เพราะมีคนขึ้นมาบนบ้านเสียก่อน พฤติการณ์บ่งชี้ชัดแจ้ง ว่า จําเลยมีเจตนาข่มขืนกระทําชําเรา จําเลยจึงมีความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทําชําเราโจทก์ร่วม ไม่ปรากฏ ว่านอกจากพยายามข่มขืนกระทําชําเราโจทก์ร่วมแล้วจําเลยจะได้กระทําอนาจารอย่างอื่นแก่โจทก์ร่วมอีก จําเลยจึงหามีความผิดฐานกระทําอนาจารโจทก์ร่วมอีกบทหนึ่งด้วยไม่ เมื่อกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทําความผิด และกฎหมายที่ใช้ภายหลังกระทําความผิดไม่แตกต่างกัน ก็จะต้องปรับบทลงโทษจําเลยตามกฎหมายที่ใช้ใน ขณะกระทําความผิด จะปรับบทลงโทษตามกฎหมายที่ใช้ภายหลังกระทําผิดไม่ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบท กฎหมายลงโทษจําเลยไม่ถูกต้องนั้น เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ ฎีกาศาลฎีกาก็มีอํานาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5362/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: พาไปอนาจาร-ข่มขืน ศาลฎีกายกเหตุต่อเนื่อง-เจตนาเดียวกัน ลดโทษเหลือบทหนักสุด
จำเลยใช้อาวุธปืนบังคับและใช้กำลังฉุดคร่าโจทก์ร่วมไปกับจำเลยแล้วใช้กำลังบังคับจะข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมในเวลาต่อมา ซึ่งการกระทำตอนแรกเป็นความผิดฐานพาไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคหนึ่ง ส่วนการกระทำตอนหลังเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 แต่การกระทำทั้งสองตอนต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ ในวาระเดียวกัน และตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาจะกระทำชำเราโจทก์ร่วมเท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5362/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ความผิดพาไปอนาจารและพยายามข่มขืน ศาลฎีกาวินิจฉัยลงโทษเฉพาะบทหนัก
จำเลยใช้อาวุธปืนบังคับและใช้กำลังฉุดคร่าโจทก์ร่วมไปกับจำเลยแล้วใช้กำลังบังคับจะข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมในเวลาต่อมาซึ่งการกระทำตอนแรกเป็นความผิดฐานพาไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคหนึ่ง ส่วนการกระทำตอนหลังเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278แต่การกระทำทั้งสองตอนต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ ในวาระเดียวกัน และตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาจะกระทำชำเราโจทก์ร่วมเท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5100/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราต่อเนื่อง – ความผิดกรรมเดียว – การลดโทษ – ฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยข้อหาทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จำคุก 20 วันเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลล่างให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218บัญญัติห้ามมิให้คู่ความฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมสองครั้งในเวลาใกล้เคียงกันและสถานที่เกิดเหตุครั้งแรกกับครั้งหลังห่างกัน เพียงประมาณ 300 เมตรเจตนาในการข่มขืนกระทำชำเราทั้งสองครั้งยังต่อเนื่องกันอยู่หาได้ขาดตอนไม่ จึงเป็นความผิดกรรมเดียว แม้จำเลยไม่ฎีกาในปัญหาข้อนี้แต่การปรับบทลงโทษจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมสองครั้งในเวลาใกล้เคียงกันและสถานที่เกิดเหตุครั้งแรกกับครั้งหลังห่างกัน เพียงประมาณ 300 เมตรเจตนาในการข่มขืนกระทำชำเราทั้งสองครั้งยังต่อเนื่องกันอยู่หาได้ขาดตอนไม่ จึงเป็นความผิดกรรมเดียว แม้จำเลยไม่ฎีกาในปัญหาข้อนี้แต่การปรับบทลงโทษจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้