คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความผิดอาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 671 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1410/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยมีอาวุธปืน: การเพิ่มโทษตามมาตรา 340 ตรี
จำเลยขอเงินผู้เสียหาย 1,000 บาท ผู้เสียหายว่าไม่มี จำเลยจึงชี้ไปที่สร้อยคอของผู้เสียหายพร้อมกับเปิดชายเสื้อให้ดูอาวุธปืนสั้นที่เหน็บอยู่ที่เอวจำเลย จากนั้นจำเลยก็กระชากสร้อยคอผู้เสียหายหลุดติดมือไป ผู้เสียหายแย่งคืนได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง โดยมีอาวุธปืน กรณีจึงต้องระวางโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องความผิดฐานปลอมเอกสาร ไม่ต้องระบุตัวบุคคลที่หลงเชื่อ
บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำเอกสารปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงนั้น เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ไม่จำต้องบรรยายด้วยว่า ผู้หนึ่งผู้ใดนั้นเป็นใครหรือชื่ออะไร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1347/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งข้อหาความผิดอาญา พนักงานสอบสวนไม่จำเป็นต้องแจ้งทุกข้อหาหากแจ้งความผิดหลักแล้ว
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 กำหนดให้พนักงานสอบสวนต้องแจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาก็เพื่อประสงค์ให้ผู้ต้องหาทราบว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิด และให้ผู้ต้องหาเข้าใจถึงการกระทำของผู้ต้องหาซึ่งเป็นความผิดโดยไม่ต้องระบุตัวบทกฎหมายที่ผู้ต้องหากระทำผิด ในกรณีการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทก็ไม่ต้องระบุกฎหมายที่เป็นความผิดทุกบททุกมาตรา หากได้แจ้งข้อหาอันเป็นหลักความผิดทั่วไปแล้วไม่จำต้องแจ้งข้อหาความผิดอันเกี่ยวพันกันด้วย พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวนได้ทุกข้อหา พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาว่าจำเลยพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยไม่แจ้งว่าจำเลยมิได้รับใบอนุญาตด้วย ก็มีอำนาจสอบสวนความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่า, ฆ่าผู้อื่น, และมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาชั้นต้นและอุทธรณ์
คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน มีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกตลอดชีวิต โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยที่ 2ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าไม่ได้กระทำผิดในข้อหาดังกล่าวนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและการใช้เอกสารปลอม โจทก์เป็นผู้เสียหาย แม้ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์
จำเลยนำใบมอบอำนาจ 2 ฉบับที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้มอบอำนาจไปกรอกข้อความว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยไปจัดการยกที่ดินโฉนดเลขที่ 561 ให้แก่จำเลยโดยเสน่หาและมอบอำนาจให้จำเลยขายที่ดินโฉนดเลขที่ 558,559 ให้แก่จำเลยทั้งจำเลยยังทำหนังสือขึ้นอีกฉบับหนึ่งว่าภรรยาโจทก์ให้ความยินยอมในการทำนิติกรรมนั้นโดยโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยกระทำการเช่นนั้นเลย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 โจทก์เป็นเจ้าของลายมือชื่อเมื่อจำเลยเอาลายมือชื่อไปใช้โดยโจทก์ไม่ยินยอม โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าที่ดินที่ไปจัดการโอนตามใบมอบอำนาจจะเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกลักเอาหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจไว้แล้วไปกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจเป็นการปลอมเอกสารสิทธิ ต่อมาจำเลยใช้เอกสารปลอมดังกล่าวไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ถือได้แล้วว่า โจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ซึ่งเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ไม่จำต้องระบุว่ามีบุคคลใดร่วมหรือสมคบกับจำเลยเพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องบุคคลอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จเกี่ยวกับเช็คที่ไม่มีมูลความผิด เพื่อให้ดำเนินคดีผู้อื่น เป็นความผิดอาญา
จำเลยมิได้แลกเช็คจาก ศ. เพียงแต่รับสมอ้าง จึงไม่เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนว่าเป็นผู้ทรงโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเช็คที่ไม่มีมูลความผิดเพราะโจทก์มิได้ลงวันที่สั่งจ่าย เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่โจทก์อันจะแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษ จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 ประกอบมาตรา 174 วรรคสอง เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 173 ประกอบ มาตรา 174 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 137 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก และไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 172

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาโดยรู้ว่าไม่มีความผิด เพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น เป็นความผิดตามมาตรา 173 ประกอบ 174 วรรคสอง
จำเลยเป็นทนายความไม่ได้รับแลกเช็คจากคุณหญิง ศ. จริงเพียงแต่รับสมอ้างดังกล่าว จึงไม่ได้เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าเป็นผู้ทรงเช็คไม่ว่าจะโดยรับมาจากโจทก์หรือจากคุณหญิง ศ.ก็ตาม โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็ค เป็นเช็คที่ไม่มีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวการกระทำของจำเลยจึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อเจ้าพนักงานซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนโดยรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เพื่อแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษ ได้รับความเสียหายถูกจับกุมดำเนินคดี เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 173 ประกอบ มาตรา 174 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะไม่ผิดมาตรา 137 ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานทั่ว ๆ ไปอีกและไม่เป็นความผิดตามมาตรา 172

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3146/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดินเมื่อสิทธิครอบครองยังไม่ชัดเจน ไม่เป็นความผิดอาญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกขนำในที่ดินของผู้เสียหายเมื่อข้อเท็จจริงตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบ กรณีเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายกับจำเลยยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่พิพาทกันอยู่ทั้งตามพยานหลักฐานที่นำสืบกันมายังฟังไม่ได้โดยแจ้งชัดว่าสิทธิครอบครองในที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด การที่จำเลยเข้าไปปลูกขนำในที่พิพาทจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2856/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จในคดีแพ่งเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายที่ดินเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 แม้ไม่ทำให้โจทก์เสียหายโดยตรง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในคดีแพ่งไว้ว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ การที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยย่อมเป็นการเบิกความเกี่ยวกับประเด็นพิพาทอันเป็นข้อแพ้ชนะคดี ถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดีดังนั้น ไม่ว่าผลของคดีจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ต่อไปหรือไม่ เมื่อคำเบิกความนั้นเป็นเท็จแล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเข้าครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรกหาจำต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยจะต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำนั้นจึงจะเป็นความผิดแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2823/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมทำร้ายจนถึงแก่ความตาย: เจตนาทำร้ายร่วมกันแม้แบ่งแยกหน้าที่ชัดเจน
ขณะเกิดการทำร้ายผู้ตายกับพวกในครั้งแรกที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดฟัน พ. จำเลยที่ 2 ก็ถือมีดและอยู่ด้วยในเหตุการณ์ต่อเนื่องกันขณะพวกจำเลยถีบรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายล้มลง แล้วจำเลยที่ 2 ใช้มีดแทงผู้ตาย ผู้ตายลุกขึ้นวิ่งหนีโดยมีจำเลยที่ 2วิ่งไล่ตาม จำเลยที่ 1 ก็ถือมีดดาบวิ่งตามไปด้วย พฤติการณ์เช่นนี้เท่ากับจำเลยทั้งสองกับพวกมีเจตนาร่วมกันที่จะทำร้ายผู้ตายกับพวกโดยไม่ได้แบ่งแยกว่าจำเลยทั้งสองกับพวกแต่ละคนจะแบ่งแยกกันทำร้ายผู้ตายกับพวกผู้ตายคนใดเป็นการเฉพาะเจาะจง แต่เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองมีเจตนายอมรับผลที่เกิดจากการกระทำของแต่ละคนเมื่อจำเลยที่ 2 ใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 ฆ่าผู้ตายด้วย
of 68