พบผลลัพธ์ทั้งหมด 497 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8178/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนคำร้องขอตั้งผู้จัดการประกอบกิจการพาณิชย์ - พฤติการณ์ประวิงคดี
นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนถึงวันที่จำเลยยื่นคำร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 307 เป็นเวลาประมาณ 8 เดือนจำเลยทั้งสองมิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แต่อย่างใด และจำเลยยังไม่เคยติดต่อโจทก์เพื่อจะชำระหนี้ด้วย พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้ขวนขวายที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากจำเลยประกอบการพาณิชยกรรมมีรายได้ประจำปีเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้จริง จำเลยก็สามารถจะระบุมาในคำร้องได้ว่าจำเลยมีรายได้จากกิจการดังกล่าวมากน้อยเพียงใด และจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ครบถ้วนเมื่อใด การที่จำเลยกล่าวในคำร้องลอย ๆ ว่า จำเลยใช้ทรัพย์สินที่ถูกยึดประกอบการพาณิชยกรรมมีรายได้ประจำปีเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ โดยมิได้กล่าวถึงจำนวนรายได้และกำหนดเวลาที่จะชำระให้เสร็จสิ้นมาด้วยเช่นนี้ จึงไม่มีเหตุให้น่าเชื่อว่าจำเลยจะมีรายได้จากการที่กล่าวแล้วพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ดังที่อ้าง พฤติการณ์ของจำเลยน่าเชื่อว่าเป็นการประวิงคดีมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในเวลาอันควร กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะไต่สวนเพื่อตั้งผู้จัดการประกอบกิจการพาณิชยกรรมแทนการสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินตาม ป.วิ.พ.มาตรา 307 และตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 21 (4) ก็มิได้บังคับว่าศาลต้องทำการไต่สวนทุกกรณีที่คู่ความยื่นคำร้องขอเข้ามา แต่ให้อำนาจศาลที่จะไต่สวนตามคำขอหรือไม่ แล้วแต่ศาลพิจารณาเห็นสมควร ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องโดยไม่ไต่สวนก่อนชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8178/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการเพื่อชำระหนี้จากการประกอบกิจการพาณิชย์ ศาลมีอำนาจพิจารณาตามความเหมาะสม โดยพิจารณาจากพฤติการณ์ลูกหนี้
นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนถึงวันที่จำเลยยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา307เป็นเวลาประมาณ8เดือนจำเลยทั้งสองมิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แต่อย่างใดและจำเลยยังไม่เคยติดต่อโจทก์เพื่อจะชำระหนี้ด้วยพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้ขวนขวายที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์หากจำเลยประกอบการพาณิชยกรรมมีรายได้ประจำปีเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้จริงจำเลยก็สามารถจะระบุมาในคำร้องได้ว่าจำเลยมีรายได้จากกิจการดังกล่าวมากน้อยเพียงใดและจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ครบถ้วนเมื่อใดการที่จำเลยกล่าวในคำร้องลอยๆว่าจำเลยใช้ทรัพย์สินที่ถูกยึดประกอบการพาณิชยกรรมมีรายได้ประจำปีเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์โดยมิได้กล่าวถึงจำนวนรายได้และกำหนดเวลาที่จะชำระให้เสร็จสิ้นมาด้วยเช่นนี้จึงไม่มีเหตุให้น่าเชื่อว่าจำเลยจะมีรายได้จากการที่กล่าวแล้วพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ดังที่อ้างพฤติการณ์ของจำเลยน่าเชื่อว่าเป็นการประวิงคดีมิให้โจทก์ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในเวลาอันควรกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะไต่สวนเพื่อตั้งผู้จัดการประกอบกิจการพาณิชยกรรมแทนการสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา307และตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา21(4)ก็มิได้บังคับว่าศาลต้องทำการไต่สวนทุกกรณีที่คู่ความยื่นคำร้องขอเข้ามาแต่ให้อำนาจศาลที่จะไต่สวนตามคำขอหรือไม่แล้วแต่ศาลพิจารณาเห็นสมควรศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องโดยไม่ไต่สวนก่อนชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องเพิกถอนคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถต่อศาลเดิม และการรับทราบคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้ผู้ร้องเป็นคนไร้ความ-สามารถต่อศาลชั้นต้นเดียวกันกับที่มีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของผู้คัดค้าน โดยแนบคำร้องและคำสั่งในคดีที่ผู้คัดค้านขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องเป็นคนไร้ความสามารถมาพร้อมคำร้อง แม้ปรากฏว่ามีการลงเลขคดีดำใหม่ในคำร้องก็เป็นเพียงทางปฏิบัติในทางธุรการของศาล ถือได้ว่าผู้ร้องได้เสนอคำร้องต่อศาลในคดีที่ได้มีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นคนไร้ความสามารถตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7 (4) แล้ว
ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาคำร้องให้ผู้คัดค้าน ต่อมาผู้ร้องนำพนักงานเดินหมายไปส่งหมายนัดไต่สวนและสำเนาคำร้องให้ผู้คัดค้าน ณ ภูมิลำเนาของผู้คัดค้านโดยผู้ที่อยู่ในบ้านเดียวกับผู้คัดค้านรับไว้แทน ถือว่าผู้คัดค้านทราบเรื่องที่ผู้ร้องยื่นคำร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาคำร้องให้ผู้คัดค้าน ต่อมาผู้ร้องนำพนักงานเดินหมายไปส่งหมายนัดไต่สวนและสำเนาคำร้องให้ผู้คัดค้าน ณ ภูมิลำเนาของผู้คัดค้านโดยผู้ที่อยู่ในบ้านเดียวกับผู้คัดค้านรับไว้แทน ถือว่าผู้คัดค้านทราบเรื่องที่ผู้ร้องยื่นคำร้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8065/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอเข้าเป็นคู่ความต้องมีคำขอบังคับชัดเจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอ้างมูลคดีว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำกันไว้ส่วนผู้ร้องขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามโดยอ้างนิติสัมพันธ์ตามสัญญาซื้อขายที่ผู้ร้องกับจำเลยที่1มีต่อกันเป็นคำร้องขอเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1)ซึ่งเป็นคำฟ้องตามมาตรา172วรรคสองที่ต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแต่คำร้องของผู้ร้องมิได้มีคำขอบังคับโดยชัดแจ้งหรือมีคำขอบังคับอยู่ในตัวว่าอย่างไรเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8018/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาชี้ว่าคำสั่งศาลเดิมที่เป็นที่สุดแล้ว ไม่อาจถูกเปลี่ยนแปลงด้วยคำร้องใหม่ แม้มีเหตุเพิ่มเติม
จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องผู้ร้องอ้างว่าผู้เสนอราคาสมคบกันกระทำการโดยไม่สุจริตมิได้กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการไปโดยไม่สุจริต เมื่อการดำเนินการขายทอดตลาดเป็นไปโดยชอบแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน ให้ยกคำร้อง เท่ากับเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้ยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง ซึ่งจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์ได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น เมื่อมิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลงตามมาตรา 147 วรรคสอง และมาตรา 229 การที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับต่อมาในวันรุ่งขึ้นขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดอีกครั้งหนึ่งโดยอ้างเหตุเพิ่มเติมว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์โดยไม่สุจริต ก็ไม่มีผลลบล้างคำสั่งเดิมซึ่งเป็นที่สุดไปแล้ว จึงสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7610/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: เนื้อที่ดินตามแผนที่จริงสำคัญกว่าการประมาณการในคำร้อง
คำร้องขอของผู้ร้องระบุเนื้อที่ดินที่ผู้ร้องครอบครองปรปักษ์มาว่าประมาณ 50 ตารางวา ปรากฏความกว้างยาว และรูปที่ดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องส่วนที่ระบายไว้ด้วยสีม่วงหรือแผนที่พิพาทนั้นเป็นการกะประมาณเอาเนื้อที่ที่แท้จริงของที่ดินอาจมากกว่าหรือน้อยกว่า50 ตารางวาก็เป็นไป ความสำคัญอยู่ที่เนื้อที่ดินส่วนที่ระบายไว้ด้วยสีม่วงในแผนที่สังเขปท้ายคำร้องซึ่งผู้ร้องครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์นั้นว่ามีเท่าใดเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินทำการรังวัดที่ดินพิพาทตามหลักวิชาการแผนที่ ปรากฏว่ามีเนื้อที่ 1 งาน ก็ต้องถือว่าเป็นเนื้อที่ของที่ดินที่ผู้ร้องเรียกร้องนั่นเอง การที่ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 1 งาน ตามแผนที่พิพาทเป็นของผู้ร้องจึงไม่เกินคำร้องขอและคำขอท้ายคำร้องขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7466/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนการบังคับคดี: ต้องยื่นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี เพราะเหตุที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการบังคับคดีและมีคำขอให้มีการเพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่ 11 โดยมิได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ในกรณีเช่นนี้ ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วว่า ให้ผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง โจทก์จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว จะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเป็นคดีใหม่มิได้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าขอให้เพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมและจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ซื้อและผู้ขายทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยมิได้เรียกค่าเสียหายมาด้วยก็เป็นคำฟ้องที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าขอให้เพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมและจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ซื้อและผู้ขายทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยมิได้เรียกค่าเสียหายมาด้วยก็เป็นคำฟ้องที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7466/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนการบังคับคดี: ต้องยื่นคำร้องต่อศาลก่อน, มิใช่ฟ้องคดีใหม่
โจทก์ฟ้องจำเลยที่2ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีเพราะเหตุที่จำเลยที่2ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการบังคับคดีและมีคำขอให้มีการเพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่11โดยมิได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่2ในกรณีเช่นนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296วรรคสองได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วว่าให้ผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงโจทก์จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าวจะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเป็นคดีใหม่มิได้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าขอให้เพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่1ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมและจำเลยที่3ถึงที่5ซึ่งเป็นผู้ซื้อและผู้ขายทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยมิได้เรียกค่าเสียหายมาด้วยก็เป็นคำฟ้องที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7071/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวไม่เกี่ยวกับการพิพาทสิทธิในหุ้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนหุ้นที่ซื้อไปแก่โจทก์ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าจำเลยทั้งสองจะต้องคืนหุ้นพิพาทที่ซื้อไปให้แก่โจทก์หรือไม่ที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองใช้สิทธิออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นพิพาทคำร้องโจทก์จึงไม่เกี่ยวกับการพิพาทด้วยทรัพย์สินสิทธิหรือประโยชน์ตามประเด็นแห่งคดีที่จะได้รับความคุ้มครองโจทก์จึงขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองใช้สิทธิในหุ้นพิพาทออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5643/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องระบุเหตุผลชัดเจน หากอ้างเพียงสัญญาเช่ายังไม่หมดอายุโดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน ศาลไม่รับพิจารณา
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวเพียงว่า สัญญาเช่ายังไม่ครบอายุ ยังมีอายุสัญญาเช่าอีก 9 ปี โดยไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงสนับสนุนว่าเหตุใดจำเลยจึงยังคงมีสิทธิอยู่อีก ทั้ง ๆ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาเช่ามีผลบังคับตามกฎหมายได้เพียง 3 ปี ซึ่งครบกำหนดไปแล้ว และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว คำร้องขอของจำเลยจึงมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสอง