พบผลลัพธ์ทั้งหมด 189 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 402/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือค้ำประกันไม่ใช่เงินมัดจำ การชำระเงินโดยไม่มีสิทธิเรียกร้องคืนไม่ได้ และไม่มีสิทธิไล่เบี้ย
โจทก์ทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้กับผู้ว่าจ้างแทนการที่จำเลยที่ 1 จะต้องวางเงินมัดจำในการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับจ้างเหมาทำการก่อสร้างอาคารให้ผู้ว่าจ้าง หนังสือค้ำประกันดังกล่าวเป็นเพียงสัญญาที่โจทก์ผูกพันต่อผู้ว่าจ้างเพื่อชำระหนี้ในเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างและไม่ชำระหนี้เท่านั้น โจทก์มิได้วางเงินตามหนังสือค้ำประกันให้ไว้ต่อผู้ว่าจ้างขณะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับผู้ว่าจ้างหนังสือค้ำประกันจึงมิใช่มัดจำ และเมื่อตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างไม่มีข้อความให้ผู้ว่าจ้างริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน ผู้ว่าจ้างจึงริบเงินจำนวนนี้ไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 1722/2513)
เมื่อผู้ว่าจ้างแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา และสั่งริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน กับให้โจทก์ส่งเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระโจทก์ย่อมสามารถตรวจดูสำเนาสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างที่จำเลยที่ 1 มอบให้ไว้ และทราบได้ว่าผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน แม้ตามหนังสือค้ำประกันโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างแต่ผู้ว่าจ้างก็มิได้เรียกร้องให้โจทก์ส่งเงินไปเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ส่งเงินไปชำระตามข้อเรียกร้องของผู้ว่าจ้าง ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระเงินให้ผู้ว่าจ้างไปโดยจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ไม่มีหน้าที่ต้องชำระและทั้งๆ ที่จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ทักท้วงแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ และจากจำเลยที่ 2, 3, 4, 5 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน
เมื่อผู้ว่าจ้างแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา และสั่งริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน กับให้โจทก์ส่งเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระโจทก์ย่อมสามารถตรวจดูสำเนาสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างที่จำเลยที่ 1 มอบให้ไว้ และทราบได้ว่าผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน แม้ตามหนังสือค้ำประกันโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างแต่ผู้ว่าจ้างก็มิได้เรียกร้องให้โจทก์ส่งเงินไปเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ส่งเงินไปชำระตามข้อเรียกร้องของผู้ว่าจ้าง ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระเงินให้ผู้ว่าจ้างไปโดยจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ไม่มีหน้าที่ต้องชำระและทั้งๆ ที่จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ทักท้วงแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ และจากจำเลยที่ 2, 3, 4, 5 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของตัวแทนขายรถยนต์เมื่อโอนกรรมสิทธิ์และชำระเงินแล้ว การฟ้องเรียกเงินค่ารถค้างชำระ
แม้โจทก์จะเป็นตัวแทนขายรถของบริษัทอื่น และเดิมรถพิพาทเป็นของบริษัทนั้น แต่เมื่อโจทก์ได้ขายรถพิพาทให้จำเลยในนามของโจทก์เอง ทั้งโจทก์ก็ได้ชำระราคารถพิพาทให้บริษัทนั้นแล้วก่อนฟ้องคดีนี้ และบริษัทนั้นก็ได้โอนทะเบียนรถพิพาทให้โจทก์หลังจากโจทก์ขายรถพิพาทให้จำเลยโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
เมื่อจำเลยซื้อรถของโจทก์ไป และยังชำระราคารถไม่หมดจำเลยย่อมมีหน้าที่ชำระราคารถที่ค้างจนหมด จะโต้แย้งว่าห้างโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์จำหน่ายรถยนต์ ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อรถพิพาทไปจากโจทก์ในราคาเท่าใด ต่อมาเปลี่ยนแปลงสัญญากันอย่างใด จำเลยชำระแล้วเท่าใด ค้างเท่าใด ทั้งยังอ้างคำพิพากษาของศาลอื่นซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยนี้เป็นตัวแทนของโจทก์ และพิพากษาบังคับให้โจทก์โอนทะเบียนรถพิพาทให้ผู้อื่น ซึ่งโจทก์ได้โอนไปแล้วตามคำพิพากษาดังกล่าว จึงให้จำเลยรับผิดชำระเงินที่ค้างต่อโจทก์ตามสัญญา และในฐานะตัวแทนพึงปฏิบัติต่อตัวการด้วย คำฟ้องดังกล่าวย่อมเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
เมื่อจำเลยซื้อรถของโจทก์ไป และยังชำระราคารถไม่หมดจำเลยย่อมมีหน้าที่ชำระราคารถที่ค้างจนหมด จะโต้แย้งว่าห้างโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์จำหน่ายรถยนต์ ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อรถพิพาทไปจากโจทก์ในราคาเท่าใด ต่อมาเปลี่ยนแปลงสัญญากันอย่างใด จำเลยชำระแล้วเท่าใด ค้างเท่าใด ทั้งยังอ้างคำพิพากษาของศาลอื่นซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยนี้เป็นตัวแทนของโจทก์ และพิพากษาบังคับให้โจทก์โอนทะเบียนรถพิพาทให้ผู้อื่น ซึ่งโจทก์ได้โอนไปแล้วตามคำพิพากษาดังกล่าว จึงให้จำเลยรับผิดชำระเงินที่ค้างต่อโจทก์ตามสัญญา และในฐานะตัวแทนพึงปฏิบัติต่อตัวการด้วย คำฟ้องดังกล่าวย่อมเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมและการจงใจทิ้งฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการชำระค่าขึ้นศาลครบถ้วนก่อนการสืบพยาน ไม่ถือเป็นการจงใจทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระเพิ่มเติม โจทก์แถลงรับว่าจะนำมาชำระก่อนวันนัดสืบพยานคราวหน้า หากไม่นำมาชำระให้ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไป ก่อนวันนัดสืบพยาน 1 วัน โจทก์ขอชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมเพียงบางส่วน ส่วนที่ยังขาดขอขยายเวลาไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต โจทก์แถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันนัด โจทก์ได้นำค่าขึ้นศาลส่วนที่เพิ่มมาชำระจนครบถ้วน ก่อนเวลาศาลจะเรียกเข้าห้องพิจารณาเพื่อดำเนินการสืบพยาน ดังนี้ จะถือว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องไล่เบี้ยเช็ค: เริ่มนับจากวันที่ถูกฟ้อง ไม่ใช่เมื่อชำระเงินตามคำพิพากษา
จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 สลักหลังให้โจทก์โจทก์สลักหลังต่อให้ จ. จ. นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ จึงฟ้องโจทก์เป็นจำเลยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2514 แม้ในคดีที่ จ.ฟ้องโจทก์นั้น โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2515 โดยโจทก์ยอมชำระเงินให้ จ. และเข้าถือเอาเช็ครายพิพาทนี้ก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เข้าถือเอาเช็คและใช้เงินตามความหมายของมาตรา 1003 ตอนแรก เพราะโจทก์ในฐานะผู้สลักหลังถูกฟ้อง มิใช่โจทก์จ่ายเงินตามเช็คให้ จ. และเข้าถือเอาเช็คไว้ไล่เบี้ย เมื่อโจทก์มาฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยทั้งสองในวันที่ 10 เมษายน 2515 พ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันที่โจทก์ถูกฟ้องแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003
กรณีดังกล่าวข้างต้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003ได้บัญญัติถึงเรื่องอายุความไว้เป็นพิเศษต่างหากแล้วการนับอายุความจึงต้องบังคับไปตามมาตราดังกล่าว จะนำมาตรา 169 มาใช้บังคับโดยถือว่าให้เริ่มนับอายุความตั้งแต่ขณะที่โจทก์อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้คือวันที่ 3 เมษายน 2515 เป็นต้นไป หาได้ไม่
กรณีดังกล่าวข้างต้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003ได้บัญญัติถึงเรื่องอายุความไว้เป็นพิเศษต่างหากแล้วการนับอายุความจึงต้องบังคับไปตามมาตราดังกล่าว จะนำมาตรา 169 มาใช้บังคับโดยถือว่าให้เริ่มนับอายุความตั้งแต่ขณะที่โจทก์อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้คือวันที่ 3 เมษายน 2515 เป็นต้นไป หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 160/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดิน: การพิสูจน์การชำระเงิน
หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินมีข้อความว่าได้รับชำระราคาครบถ้วนแล้ว ผู้ขายนำสืบพยานบุคคลไม่ได้ว่าตกลงกันให้ไปรับเงินที่บ้านผู้ซื้อแล้วผู้ซื้อไม่ชำระเงิน ต้องห้ามตามมาตรา 94(ข)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทการเล่นแชร์: การรับผิดของหัวหน้าวงต่อลูกวงเมื่อลูกวงไม่ชำระเงิน
โจทก์จำเลยและผู้อื่นตกลงเล่นแชร์กัน โจทก์เป็นนายวงมีสิทธิได้เงินจากลูกวงคนอื่นก่อนโดยไม่ต้องประมูลและไม่ต้องเสียดอกเบี้ยแต่ต้องเป็นผู้รวบรวมเงินจากลูกวงเอาไปให้กับผู้ที่ประมูลได้ และผู้ประมูลได้ต้องทำสัญญากู้ให้แก่ลูกวงคนอื่นเป็นประกันการชำระหนี้โดยมอบให้โจทก์ไว้เพื่อเรียกเก็บเงินในภายหลัง เมื่อปรากฏว่าจำเลยประมูลแชร์ได้ ได้รับเงินไปแล้ว และได้ทำสัญญากู้มอบให้โจทก์ไว้แต่ครั้นผู้อื่นประมูลได้ จำเลยไม่ชำระเงินโจทก์ต้องชำระแทนไปโจทก์ก็มาฟ้องเรียกให้จำเลยชดใช้เงินและนำสืบว่ามูลหนี้ตามสัญญากู้เกิดจากการเล่นแชร์มิใช่การยืมเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บังคับคดีตามยอมต้องเรียงลำดับขั้นตอน หากโจทก์ขอให้ชำระเงินก่อนโอนทรัพย์ ศาลต้องยกหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์แต่ถ้ามีเหตุโอนปั๊มน้ำมันไม่ได้ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ห้าล้านบาทเช่นนี้ การบังคับคดี โจทก์จะต้องบังคับให้จำเลยโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมเสียก่อน ถ้ามีเหตุโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์ไม่ได้ จึงให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นสั่งออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยเพื่อให้ชำระเงินห้าล้านบาทตามที่โจทก์ขอโดยไม่ปรากฏเหตุที่จำเลยไม่อาจโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์ได้นั้น ถือว่ามิได้ดำเนินการตามคำพิพากษาตามยอมเป็นขั้น ๆ ไป ย่อมยกหมายบังคับคดีนั้นเสียได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2600/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฉ้อโกง: ผู้ถูกหลอกลวงมีอำนาจร้องทุกข์ แม้จะชำระเงินบางส่วนแล้ว
ป. ตกลงว่าจ้าง ส. ซ่อมรถยนต์คิดเป็นเงิน 12,500 บาทในระหว่างกำลังซ่อม จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของ ส. ได้หลอกลวง ป.ให้หลงเชื่อว่าทางอู่ของ ส. ให้จำเลยมาขอรับเงิน 5,000 บาทเพื่อไปซื้อเครื่องอะไหล่ในการซ่อมรถป. จึงมอบเงินให้จำเลยไปเมื่อ ป. นำเงินค่าซ่อมอีก 7,500 บาทไปชำระให้ ส. จึงรู้ว่า ส.ไม่ได้ใช้จำเลยไปเอาเงิน ดังนี้ ถือได้ว่า ป. ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว จึงมีอำนาจร้องทุกข์ได้ ถึงแม้ ส.จะรับเงินค่าซ่อมอีกเพียง 7,500 บาทไว้จาก ป. และมอบรถให้ป. ไปแล้วก็ตามเป็นเรื่องระหว่าง ป. กับ ส. ไม่เกี่ยวกับจำเลยและเงินที่จำเลยรับไป ไม่ทำให้ ป. ผู้ถูกหลอกลวงพ้นจากการเป็นผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสียค่าอ้างเอกสารและการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลต้องรับฟังหากชำระก่อนมีคำพิพากษา
โจทก์ผู้อ้างพยานเอกสารมิได้เสียค่าอ้างเอกสารภายในกำหนด 3 วันตามคำสั่งศาลชั้นต้น แต่ได้เสียก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา ดังนี้ศาลจะตัดไม่รับฟังพยานเอกสารของโจทก์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11-15/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช็ค: ผู้รับเช็คที่ชำระเงินแทน ไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจร้องทุกข์
จำเลยออกเช็คชำระหนี้ให้แก่บริษัท ท. เมื่อเช็คขึ้นเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ม. ผู้จัดการบริษัท ท.ได้เอาเงินส่วนตัวชำระให้บริษัทท. แทนแล้วรับเช็คดังกล่าวมา ดังนี้ ม. ได้รับเช็คมาหลังจากความผิดเกิดขึ้นแล้ว ม. จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์ ในคดีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค