พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,032 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5705/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบ-การโต้แย้งคำสั่งศาล-ผิดสัญญาซื้อขาย: ศาลฎีกาวินิจฉัยการไม่โต้แย้งคำสั่งหน้าที่นำสืบ และการบอกเลิกสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2535 ขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดหน้าที่นำสืบใหม่โดยให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนแต่ศาลชั้นต้นไม่สั่งแก้ไขให้โดยสั่งคำร้อง ของ จำเลยดังกล่าวว่า"สำเนาให้โจทก์ รวม" คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวมีความหมายว่าไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงหน้าที่นำสืบตามที่กำหนดไว้ในวันชี้สองสถาน ดังนี้ถือว่าได้ว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยต้องโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) ส่วนท้ายคำร้อง ของ จำเลยที่มีข้อความว่า หากศาลไม่เห็นพ้อง ด้วยกับคำร้องขอให้เปลี่ยนหน้าที่นำสืบ จำเลยขอถือว่าเป็นการแถลงคัดค้านคำสั่งศาลนั้น ไม่ถือเป็นการโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น เพราะขณะที่จำเลยยื่นคำร้อง ศาลยังไม่ได้มีคำสั่งว่าให้เปลี่ยนหน้าที่นำสืบใหม่หรือไม่ การระบุในคำร้อง ของ จำเลยเช่นนั้นเป็นเพียงการแสดงความประสงค์ของจำเลยไว้ล่วงหน้าก่อนศาลชั้นต้นจะมีคำสั่ง ถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กำหนดหน้าที่นำสืบให้จำเลยนำสืบก่อน จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในข้อนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่เสียภาษีจากการเป็นตัวแทนติดต่อซื้อขายสินค้าระหว่างต่างประเทศกับไทย
เมื่อบริษัท ส. ติดต่อขอให้โจทก์สั่งซื้อสินค้าให้โดยตกลงจะให้ค่านายหน้าแก่โจทก์ โจทก์ได้ติดต่อไปยังบริษัท ม.ประเทศสหรัฐอเมริกา และบริษัทดังกล่าวได้แจ้งราคาสินค้าที่บริษัท ส.ต้องการซื้อมายังโจทก์ โจทก์แจ้งให้บริษัท ส.ผู้ซื้อทราบ บริษัทผู้ซื้อพอใจจึงทำการซื้อขายและชำระราคาแก่บริษัท ม.ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยตรง การที่โจทก์แนะนำบริษัท ม.ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศให้แก่บริษัท ส.ซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์ในประเทศไทย โดยมีการติดต่อผ่านโจทก์จนทำการซื้อขายสินค้ากัน แม้ผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์จะทำสัญญาซื้อขายและชำระราคาค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายซึ่งเป็นบริษัทในต่างประเทศโดยตรง โดยโจทก์มิได้มีส่วนรับผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหรือการชำระราคาค่าสินค้าก็ตาม แต่การที่บริษัทในต่างประเทศสามารถขายสินค้าให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยได้ ก็เนื่องมาจากโจทก์เป็นตัวเชื่อมให้ผู้ซื้อและผู้ขายติดต่อกัน จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อให้แก่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ เมื่อบริษัทในต่างประเทศได้รับชำระค่าสินค้าย่อมมีเงินได้หรือผลกำไรรวมอยู่ด้วย โจทก์จึงมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นแบบรายการและเสียภาษีเงินได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 76 ทวิ
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 70 ทวิ ผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในการจำหน่ายกำไรออกไปจากประเทศไทยนั้น ต้องเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรหรือเงินที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไร โจทก์เป็นเพียงผู้ทำการติดต่อกับลูกค้าในประเทศไทยในการขายสินค้าแทนบริษัทในต่างประเทศ ไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นสาขาของบริษัทในต่างประเทศและเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรแต่อย่างใด เพียงแต่ลูกค้าของโจทก์ในประเทศไทยได้ติดต่อทำสัญญาซื้อขายและชำระราคาค่าสินค้าให้แก่บริษัทในต่างประเทศโดยตรง แม้ค่าสินค้าที่ลูกค้าชำระจะมีเงินกำไรรวมอยู่ด้วย แต่โจทก์ก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเงินไปชำระค่าสินค้า ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากการจำหน่ายกำไรออกไปจากประเทศไทย ตามมาตรา 70 ทวิ
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 70 ทวิ ผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในการจำหน่ายกำไรออกไปจากประเทศไทยนั้น ต้องเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรหรือเงินที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไร โจทก์เป็นเพียงผู้ทำการติดต่อกับลูกค้าในประเทศไทยในการขายสินค้าแทนบริษัทในต่างประเทศ ไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นสาขาของบริษัทในต่างประเทศและเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรแต่อย่างใด เพียงแต่ลูกค้าของโจทก์ในประเทศไทยได้ติดต่อทำสัญญาซื้อขายและชำระราคาค่าสินค้าให้แก่บริษัทในต่างประเทศโดยตรง แม้ค่าสินค้าที่ลูกค้าชำระจะมีเงินกำไรรวมอยู่ด้วย แต่โจทก์ก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเงินไปชำระค่าสินค้า ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากการจำหน่ายกำไรออกไปจากประเทศไทย ตามมาตรา 70 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4805/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติสัมพันธ์ซื้อขายสัตว์น้ำพร้อมทุนหมุนเวียน ไม่ใช่การกู้ยืม สัญญาต่างตอบแทนฟ้องร้องบังคับได้
โจทก์ประกอบกิจการแพปลารับซื้อสัตว์น้ำจากผู้ประกอบอาชีพประมงลักษณะการประกอบกิจการของโจทก์นอกจากรับซื้อสัตว์น้ำแล้วโจทก์ยังให้ยืมเงินและทดรองจ่ายค่าใช้จ่ายและค่าอุปกรณ์เกี่ยวกับเรือประมงของผู้ซึ่งนำสัตว์น้ำมาขายแก่โจทก์การชำระคืนตกลงให้หักเอาจากค่าปลาหรือสัตว์น้ำที่นำมาขายจำเลยเป็นเจ้าของเรือประมง4ลำและเป็นผู้นำปลามาขายแก่โจทก์โดยโจทก์ให้จำเลยยืมเงินและทดรองจ่ายจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆเกี่ยวกับประมงของจำเลยไปก่อนเมื่อจำเลยนำสัตว์น้ำมาขายแก่โจทก์โจทก์จึงคิดหักหนี้เงินที่จำเลยรับล่วงหน้าและทดรองจ่ายไปดังนี้นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นการกู้ยืมแต่เป็นการรับเงินไปเป็นทุนหมุนเวียนในการทำการประมงของจำเลยกล่าวคือโจทก์รับดำเนินการในภาระต่างๆที่เกี่ยวข้องเฉพาะกับเรือประมงที่จะออกทะเลโดยมุ่งที่จะซื้อสัตว์น้ำจากเรือของจำเลยสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆที่โจทก์ออกไปจะนำมาหักกับค่าซื้อขายสัตว์น้ำที่เรือแต่ละลำได้มาต่างกับการกู้ยืมเงินทั่วๆไปที่ไม่มีข้อผูกมัดว่าจะต้องใช้จ่ายเงินได้เฉพาะเรื่องและถือเอาผลประโยชน์จากดอกเบี้ยเป็นสำคัญนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภทหนึ่งเป็นนิติกรรมที่ไม่มีแบบย่อมสมบูรณ์ด้วยการแสดงเจตนาและฟ้องร้องบังคับกันได้โดยไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดงโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3883/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของคำฟ้องซื้อขายและการคิดดอกเบี้ยตาม ป.พ.พ.มาตรา 490
จำเลยทั้งสองอ้างว่าคำฟ้องของโจทก์มิได้มีข้อความว่าจำเลยทั้งสองสั่งซื้อสินค้าอะไร เมื่อไร จำนวนเท่าใด จำเลยทั้งสองได้รับสินค้าจากโจทก์แล้วหรือไม่นั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า ตั้งแต่ต้นปี 2536 ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2536 จำเลยทั้งสองซื้อกระดาษหลายประเภทจากโจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 173,868.50 บาท จำเลยทั้งสองได้รับกระดาษดังกล่าวแล้ว ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์บรรยายข้อความที่จำเลยทั้งสองอ้างข้างต้นว่าไม่มี ไว้ครบถ้วนแล้ว และที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าการชำระเงินต้องชำระกันอย่างไรจำเลยทั้งสองผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด โจทก์เริ่มคิดดอกเบี้ยเมื่อไร จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุช่วงเวลาที่จำเลยทั้งสองซื้อสินค้าจากโจทก์และรับสินค้าดังกล่าวว่าตั้งแต่ต้นปี 2536 ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2536 แม้จะไม่ได้ระบุวันถึงกำหนดใช้ราคา แต่ตาม ป.พ.พ.มาตรา 490 บัญญัติ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเวลากำหนดใช้ราคาคือเวลาอันเดียวกันกับเวลาที่ส่งมอบทรัพย์สินซึ่งขายนั้น จึงเข้าใจได้ว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่รับสินค้าและไม่ใช้ราคาแล้ว และแม้โจทก์จะมิได้ระบุวันเดือนปีที่โจทก์เริ่มคิดดอกเบี้ย แต่โจทก์ระบุว่าโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเพียง 5 เดือนโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2537 หากนับแต่วันสิ้นเดือนมิถุนายน 2536อันเป็นวันที่โจทก์ระบุว่าจำเลยทั้งสองซื้อกระดาษจากโจทก์เป็นครั้งสุดท้ายถึงวันฟ้องจะเป็นเวลา 6 เดือนเศษ แต่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยเพียง 5 เดือน เท่านั้น เมื่อเริ่มนับแต่วันฟ้องย้อนหลังไป 5 เดือน ก็จะสามารถคำนวณเงินค่าดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องได้ จึงไม่จำเป็นต้องระบุวันเดือนปีที่โจทก์เริ่มคิดดอกเบี้ยอีก ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3883/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่: การซื้อขายกระดาษและดอกเบี้ย - ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุวันถึงกำหนดชำระราคาและวันเริ่มคิดดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอ้างว่าคำฟ้องของโจทก์มิได้มีข้อความว่า จำเลยทั้งสองสั่งซื้อสินค้าอะไร เมื่อไร จำนวนเท่าใดจำเลยทั้งสองได้รับสินค้าจากโจทก์แล้วหรือไม่นั้น เมื่อปรากฎว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า ตั้งแต่ต้นปี 2536 ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2536 จำเลยทั้งสองซื้อกระดาษหลายประเภทจากโจทก์ หลายครั้งรวมเป็นเงิน 173,868.50 บาท จำเลยทั้งสองได้รับ กระดาษดังกล่าวแล้ว ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์บรรยายข้อความที่ จำเลยทั้งสองอ้างข้างต้นว่าไม่มี ไว้ครบถ้วนแล้ว และที่จำเลย ทั้งสองอ้างว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าการชำระเงินต้องชำระ กันอย่างไร จำเลยทั้งสองผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด โจทก์เริ่มคิดดอกเบี้ยเมื่อไร จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุช่วงเวลาที่จำเลยทั้งสองซื้อสินค้าจากโจทก์และรับสินค้าดังกล่าวตั้งแต่ต้นปี 2536 ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2536แม้จะไม่ได้ระบุวันถึงกำหนดใช้ราคา แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 490 บัญญัติ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเวลากำหนดใช้ราคาเดียวกันกับเวลาที่ส่งมอบทรัพย์สินซึ่งขายนั้น จึงเข้าใจได้ว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่รับสินค้าและไม่ใช้ราคาแล้ว และแม้โจทก์จะมิได้ระบุวันเดือนปีที่โจทก์เริ่มคิดดอกเบี้ย แต่โจทก์ระบุว่าโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเพียง 5 เดือน โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2537 หากนับแต่วันสิ้นเดือนมิถุนายน 2536 อันเป็นวันที่โจทก์ระบุว่าจำเลยทั้งสองซื้อกระดาษจากโจทก์เป็นครั้งสุดท้ายถึงวันฟ้องจะเป็นเวลา 6 เดือนเศษ แต่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยเพียง 5 เดือนเท่านั้น เมื่อเริ่มนับแต่วันฟ้องย้อนหลังไป 5 เดือน ก็จะสามารถคำนวณเงินค่าดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องได้ จึงไม่จำเป็นต้องระบุวันเดือนปีที่โจทก์เริ่มคิดดอกเบี้ยอีกฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3862/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายยาเสพติดไม่สำเร็จ การพิพากษาความผิดฐานพยายามจำหน่าย และการใช้พยานหลักฐานจากสายลับ
โจทก์กับเจ้าพนักงานตำรวจผู้รู้เห็นเหตุการณ์ร่วมกับสายลับย่อมเป็นพยานโดยตรงอยู่แล้ว หาจำต้องนำสายลับมาเป็นพยานอีกไม่ เพราะโดยลักษณะความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษย่อมจะต้องใช้สายลับเป็นผู้ล่อซื้อ จึงมีความจำเป็นต้องปกปิดตัวสายลับเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งเพื่อประโยชน์ด้านการปฏิบัติงานครั้งต่อ ๆ ไปด้วยการไม่นำสายลับมาเป็นพยานหาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์น้ำหนักลดน้อยลงไม่
การที่สายลับเข้าทำการล่อซื้อฝิ่นจากจำเลยทั้งสอง ยังไม่มีการชำระเงินและส่งมอบฝิ่นของกลางให้แก่กัน แต่จำเลยทั้งสองถูกจับพร้อมด้วยฝิ่นของกลางเสียก่อนดังนั้นการซื้อขายยังไม่เสร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยผิดกฎหมายเท่านั้น
การที่สายลับเข้าทำการล่อซื้อฝิ่นจากจำเลยทั้งสอง ยังไม่มีการชำระเงินและส่งมอบฝิ่นของกลางให้แก่กัน แต่จำเลยทั้งสองถูกจับพร้อมด้วยฝิ่นของกลางเสียก่อนดังนั้นการซื้อขายยังไม่เสร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยผิดกฎหมายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์แล้วตกลงซื้อขายกันไม่ได้ แคชเชียร์เช็คยังไม่ถือว่าชำระหนี้ได้
หลังจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยแล้วต่อมาศ. ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่ถูกยึดกับฝ่ายจำเลยโดยศ. ได้ขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่ดินจากธนาคารน. และได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้วธนาคารน.จึงได้ออกแคชเชียร์เช็คจำนวน6,200,945.44บาทเพื่อให้ศ. ใช้ชำระค่าซื้อที่ดินต่อมาได้มีการมอบแคชเชียร์เช็คดังกล่าวแก่โจทก์และโจทก์ได้ขอถอนการยึดทรัพย์ที่ดินของฝ่ายจำเลยเพื่อจะได้จดทะเบียนโอนขายแก่ศ. และจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ต่อธนาคารน. ต่อไปและเจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาตแล้วก็ตามแต่การที่โจทก์ศ. และธนาคารน.ตกลงให้โจทก์ถือแคชเชียร์เช็คดังกล่าวไว้เป็นประกันในการที่ยอมถอนการยึดทรัพย์ที่ดินให้เท่านั้นหากต่อมาตกลงซื้อขายกันไม่ได้โจทก์ย่อมคืนแคชเชียร์เช็คให้แก่ธนาคารน. ได้การที่ศ. จะชำระค่าที่ดินโดยแคชเชียร์เช็คดังกล่าวก็เพื่อให้จำเลยที่2จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ศ. ในคราวเดียวภายในวันเดียวกันเพียงแต่ต้องมอบแคชเชียร์เช็คให้โจทก์ก่อนเพื่อให้ขั้นตอนการถอนการยึดทรัพย์ซึ่งต้องกระทำก่อนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กระทำได้สำเร็จโดยศ. มีเจตนาจะชำระเงินค่าที่ดินตามแคชเชียร์เช็คนั้นให้แก่จำเลยที่2เป็นค่าซื้อที่ดินโดยเงื่อนไขว่าต้องมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ศ.ได้ในวันเดียวกันนั้นเมื่อจำเลยที่2ยังไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ศ. ได้จำเลยที่2จึงยังไม่มีสิทธิได้รับเงินตามแคชเชียร์เช็คนั้นเป็นการชำระค่าที่ดินและการมอบแคชเชียร์เช็คให้โจทก์ยึดถือไว้เช่นนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์แล้วโจทก์ย่อมจะคืนแคชเชียร์เช็คแก่ธนาคารน. ตามข้อตกลงได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากจำเลยและโจทก์มีสิทธิบังคับคดีจำเลยต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2644/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายโดยไม่สุจริตและการใช้สิทธิโดยไม่ชอบ
ในการซื้อขายที่พิพาทกันซึ่งมีชื่อ บ.เป็นผู้ถือสิทธิครอบครองคงมีแต่โจทก์ ต. บ. และ ป.เท่านั้นที่ได้เจรจาต่อรองกัน ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้รู้เห็นยินยอมหรือร่วมเจรจาอยู่ด้วย แต่ ต.กลับเป็นผู้รับรองต่อโจทก์ว่าบุตรทุกคนยินยอมให้ขายที่พิพาทได้ และรับว่าหากโจทก์ต้องการใช้ประโยชน์ในที่พิพาทเมื่อใดก็จะจัดการให้รื้อบ้านออกไป และก่อนซื้อโจทก์ได้ไปดูที่พิพาทและเห็นจำเลยปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในที่พิพาทในลักษณะมั่นคงถาวรอยู่ก่อนแล้วแต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซักถามจำเลยหรือแม้แต่ บ.และ ต.ให้ได้ความชัดเจนว่าจำเลยปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่พิพาทได้ด้วยเหตุใด การที่โจทก์ซื้อที่พิพาทไว้ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า จำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยอันเป็นการใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทอยู่ถือไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยสุจริต เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องขับไล่จำเลยในพฤติการณ์เช่นนี้เป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้จากการซื้อขายสินค้าเพื่อกิจการของลูกหนี้: 5 ปี, การยอมรับหนี้ทำให้สะดุด
โจทก์เป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ทุกชนิดเพื่อจำหน่าย ส่วนจำเลยมีอาชีพตั้งฟาร์มเลี้ยงกุ้ง และเป็นลูกค้าโจทก์ โดยซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์การเลี้ยงกุ้งจากโจทก์เพื่อนำไปเลี้ยงกุ้ง เมื่อจำเลยซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์การเลี้ยงกุ้งไปเพื่อเลี้ยงกุ้งจำหน่าย หาได้ซื้อไปเพื่อเลี้ยงกุ้งไว้บริโภคเอง กรณีจึงตกอยู่ในบังคับของ ป.พ.พ.มาตรา 193/34 (1) ตอนท้ายที่ว่าเว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง ดังนั้น อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ จึงมีกำหนด 5 ปี หาใช่ 2 ปี ไม่ เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้ลงชื่อยอมรับยอดหนี้ตามบันทึกลงวันที่ 1 ตุลาคม 2533 อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อนับระยะเวลาจากวันดังกล่าวถึงวันที่ 23 เมษายน 2536ซึ่งเป็นวันฟ้องยังไม่พ้นกำหนด 5 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสิทธิเรียกร้องจากการซื้อขายสินค้าทางการค้า: การซื้อขายอาหารสัตว์เพื่อเลี้ยงกุ้งเพื่อการค้า อายุความ 5 ปี
โจทก์เป็นบริษัทจำกัดประกอบกิจการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ทุกชนิดเพื่อจำหน่ายจำเลยทั้งสองมีอาชีพเลี้ยงกุ้งและเป็นลูกค้าโจทก์โดยซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์การเลี้ยงกุ้งไปเพื่อเลี้ยงกุ้งจำหน่ายมิได้ซื้อไปเพื่อเลี้ยงกุ้งไว้บริโภคเองกรณีจึงตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/34ตอนท้ายที่ว่าเว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเองดังนั้นอายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนด5ปีหาใช่2ปีไม่ปรากฎว่าจำเลยที่1ลงชื่อยอมรับยอดหนี้ตามบันทึกลงวันที่1ตุลาคม2533อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเมื่อนับระยะเวลาจากวันดังกล่าวถึงวันฟ้องยังไม่พ้นกำหนด5ปีฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ