พบผลลัพธ์ทั้งหมด 307 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7631/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น: ที่ดินถูกล้อมรอบสิทธิใช้ทางแม้ไม่ติดกัน ศาลกำหนดความกว้างทางพอสมควร
ที่ดินของโจทก์มีที่ดินของผู้อื่นล้อมรอบอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะแต่โจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยออกตามทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินของโจทก์ซึ่งกว้างประมาณ8เมตรยาวประมาณ300เมตรแล้วผ่านทางพิพาทยาวประมาณ100เมตรและผ่านทางสาธารณประโยชน์ยาวประมาณ100เมตรสู่ถนนซอยอมรพันธ์ุนิเวศน์4ทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยจึงเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349มีความหมายว่าเมื่อที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้แล้วเจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่จำกัดว่าจะมีสิทธิผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่เฉพาะที่ดินแปลงที่อยู่ติดกับที่ดินแปลงนั้นเท่านั้นดังนั้นเมื่อฟังได้เป็นที่ยุติแล้วว่าที่ดินของโจทก์มีที่ดินของผู้อื่นล้อมรอบอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แต่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้โดยผ่านที่ดินของผู้อื่นก่อนแล้วผ่านที่ดินของจำเลยและที่ดินอื่นแม้ที่ดินของจำเลยมิได้อยู่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งถูกล้อมอยู่ก็มีสิทธิใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยออกไปสู่ทางสาธารณะได้ ที่จำเลยฎีกาในส่วนของฟ้องแย้งว่าจำเลยได้รับความเสียหาย100,000บาทไม่ใช่10,000บาทดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้นเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อฟ้องแย้งของจำเลยมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา248วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ทางจำเป็นต้องเลือกทำพอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่านโดยให้เสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุดจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยให้มีความกว้างถึง8เมตรและควรกำหนดให้ทางจำเป็นมีความกว้าง3050เมตรซึ่งพอสมควรที่จะใช้เป็นทางจำเป็นในสภาพที่เป็นถนนในรถยนต์รวมทั้งรถบรรทุกผ่านเข้าออกได้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7524/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น: ไม่ต้องติดทางสาธารณะโดยตรง เพียงแต่ให้ที่ดินถูกล้อมมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางเดินให้โจทก์และบริวารผ่านเข้าออกสู่ที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะ จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ด้วย การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวและศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจึงไม่เป็นการกำหนดประเด็นข้อพิพาทและพิพากษานอกเหนือจากคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง
ป.พ.พ.มาตรา 1349 มิได้บัญญัติว่า ทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายของกฎหมายสำคัญอยู่ที่ให้ที่ดินที่ถูกล้อมมีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้น ดังนั้น การขอเปิดทางจำเป็นปลายทางหาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่ เมื่อโจทก์ทั้งสองสามารถใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ที่ดินของกรมชลประทานแล้วใช้ที่ดินของกรมชลประทานเดินไปสู่ทางสาธารณะได้ ทางพิพาทก็เป็นทางจำเป็นตามกฎหมายแล้ว
ป.พ.พ.มาตรา 1349 มิได้บัญญัติว่า ทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายของกฎหมายสำคัญอยู่ที่ให้ที่ดินที่ถูกล้อมมีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้น ดังนั้น การขอเปิดทางจำเป็นปลายทางหาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่ เมื่อโจทก์ทั้งสองสามารถใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ที่ดินของกรมชลประทานแล้วใช้ที่ดินของกรมชลประทานเดินไปสู่ทางสาธารณะได้ ทางพิพาทก็เป็นทางจำเป็นตามกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7524/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็นไม่จำเป็นต้องติดทางสาธารณะโดยตรง เพียงแต่สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1649มิได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรงความมุ่งหมายของกฎหมายสำคัญอยู่ที่ให้ที่ดินถูกล้อมมีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้นดังนั้นการขอเปิดทางจำเป็นปลายทางหาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่เมื่อโจทก์สามารถใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ที่ดินของกรมชลประทานแล้วใช้ที่ดินของกรมชลประทานเดินไปสู่ทางสาธารณะได้ทางพิพาทก็เป็นทางจำเป็นตามกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6596/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขาย, ทางจำเป็น, การผิดสัญญา, สิทธิในการใช้ทาง, การจัดการสินสมรส
การจัดการทรัพย์สินที่จะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะต้องเป็นการจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1480หากเป็นการจัดการเกี่ยวกับสินส่วนตัวคู่สมรสฝ่ายนั้นย่อมจัดการได้เองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1473คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าโจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสจึงไม่มีอำนาจฟ้องเท่านั้นไม่ได้ให้การเลยว่าที่ดินโจทก์ทั้งสองแปลงเป็นสินสมรสและการฟ้องคดีของโจทก์เป็นการจัดการสินสมรสแต่อย่างใดคำให้การจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแปลงใดระบุเขตติดต่อระหว่างที่ดินของโจทก์กับจำเลยโจทก์จำเลยทำสัญญากันว่าอย่างไรมูลเหตุที่มีการทำสัญญาโดยแนบสำเนาสัญญาดังกล่าวแผนที่พิพาททั้งยังมีภาพถ่ายสภาพถนนที่ถูกจำเลยปิดกั้นมาท้ายฟ้องด้วยกับมีคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยครบถ้วนถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันโดยจำเลยเป็นผู้จะซื้อที่ดินของโจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญากับโจทก์โดยยอมตกลงทำถนนกว้าง6เมตรเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์และยอมให้โจทก์ใช้ถนนดังกล่าวเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์ทั้งจำเลยได้สัญญาว่าจะทำถนนเชื่อมจดทางเข้าบ้านโจทก์มีขนาดความกว้าง6เมตรด้วยสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งกันและกันเมื่อโจทก์ได้โอนขายที่ดินแก่จำเลยแล้วจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญานั้นโดยต้องทำถนนเป็นทางเชื่อมติดต่อมาจนถึงประตูบ้านโจทก์มีขนาดกว้าง6เมตรและต้องยอมให้โจทก์ใช้ถนนทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์ตามสัญญาจำเลยจึงไม่มีสิทธิเลิกสัญญาดังกล่าวกับโจทก์และไม่มีสิทธิที่จะปิดทางพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6161/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการบังคับให้เปิดทางจำเป็นและทางตามสัญญาต่างตอบแทน กรณีที่ดินถูกปิดล้อม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ซื้อที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 20092 จากจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 412 ของด.ญ. จ. บุตรจำเลยที่ 1 ทางด้านทิศใต้ และจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของ ด.ญ. จ. ได้ทำสัญญากับโจทก์ที่ 1 ว่า เมื่อทางราชการได้ตัดถนนโครงการเทศบาลเลียบคลองสามเสนแล้ว จำเลยที่ 1 จะทำถนนกว้างไม่น้อยกว่า6 เมตร เริ่มจากทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 412 ผ่านที่ดินโฉนดนี้ออกทางทิศใต้จดถนนของโครงการเทศบาลทันที และจำเลยที่ 1 จะนำที่ดินทั้งสองแปลงไปจดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมต่อไป ต่อมากรุงเทพมหานครได้ตัดถนนเทศบาลเลียบคลองสามเสน โจทก์ที่ 1 จึงให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญา แต่จำเลยที่ 1เพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนเป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์ที่ซื้อมาจากจำเลยที่ 1ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เปิดทางจำเป็นคำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว กล่าวคือ อาศัยสิทธิทั้งตามสัญญาต่างตอบแทนและทางจำเป็น เพราะที่ดินโจทก์ถูกปิดล้อมออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้ด้วย ซึ่งสิทธิทั้งสองนี้สามารถกล่าวอ้างด้วยกันได้ หาเป็นการขัดแย้งกันแต่อย่างใดไม่ และจำเลยที่ 1ได้ให้การต่อสู้คดีว่า ไม่เคยทำสัญญาต่างตอบแทนกับฝ่ายโจทก์ และที่ดินฝ่ายโจทก์ไม่ถูกปิดล้อม แสดงว่าจำเลยที่ 1 เข้าใจคำฟ้องและสามารถให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องครบถ้วน ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ข้อตกลงในสัญญาต่างตอบแทนเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 20092ที่ว่า คู่กรณีรับรองว่าจะได้นำโฉนดที่ดินของผู้ให้สัญญา (จำเลยที่ 1) และผู้รับสัญญา(โจทก์ที่ 1) ไปจดทะเบียนภาระจำยอมเป็นทางเดินผ่าน ณ สำนักงานที่ดินและมีข้อตกลงเรื่องจัดทำถนนต่อจากทางผ่านดังกล่าวจนออกสู่ทางสาธารณะบนที่ดินโฉนดเลขที่ 412 ที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของ ด.ญ. จ. ได้ตกลงกับโจทก์ที่ 1 ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์อันแท้จริงในการตกลงของคู่กรณีให้มีทางผ่านบนที่ดินโฉนดเลขที่ 20092 ของจำเลยที่ 1 ด้วย มิเช่นนั้นแล้วก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใดในการทำสัญญาฉบับนี้เพราะโจทก์ที่ 1 ไม่มีทางออกจากที่ดินโจทก์ที่ 1 สู่ทางสาธารณะทางบกได้ ดังนั้น โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรวมย่อมมีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 เปิดทางบนที่ดินโฉนดเลขที่ 20092 ของจำเลยที่ 1 แต่ไม่มีสิทธิขอให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทดแทนหรือค่าเสียหายเพราะไม่มีข้อตกลงในเรื่องนี้ไว้
ข้อตกลงในสัญญาต่างตอบแทนเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 20092ที่ว่า คู่กรณีรับรองว่าจะได้นำโฉนดที่ดินของผู้ให้สัญญา (จำเลยที่ 1) และผู้รับสัญญา(โจทก์ที่ 1) ไปจดทะเบียนภาระจำยอมเป็นทางเดินผ่าน ณ สำนักงานที่ดินและมีข้อตกลงเรื่องจัดทำถนนต่อจากทางผ่านดังกล่าวจนออกสู่ทางสาธารณะบนที่ดินโฉนดเลขที่ 412 ที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของ ด.ญ. จ. ได้ตกลงกับโจทก์ที่ 1 ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์อันแท้จริงในการตกลงของคู่กรณีให้มีทางผ่านบนที่ดินโฉนดเลขที่ 20092 ของจำเลยที่ 1 ด้วย มิเช่นนั้นแล้วก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใดในการทำสัญญาฉบับนี้เพราะโจทก์ที่ 1 ไม่มีทางออกจากที่ดินโจทก์ที่ 1 สู่ทางสาธารณะทางบกได้ ดังนั้น โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรวมย่อมมีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 เปิดทางบนที่ดินโฉนดเลขที่ 20092 ของจำเลยที่ 1 แต่ไม่มีสิทธิขอให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทดแทนหรือค่าเสียหายเพราะไม่มีข้อตกลงในเรื่องนี้ไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6158/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางพิพาท ทางจำเป็น และขอบเขตการใช้สิทธิของเจ้าของที่ดิน
คลองแคมีกว้างประมาณ 6 เมตร แม้จะมีน้ำตลอดปี แต่ก็มีสภาพเน่าเสีย ร่องน้ำตรงกลางกว้างประมาณ 1 เมตร ริมคลองมีต้นกก บางส่วนของคลองตื้นเขิน ปัจจุบันไม่ค่อยมีเรือผ่าน เนื่องจากมีถนนสาธารณะเลียบริมคลอง ชาวบ้านใช้รถยนต์ ไม่ใช้เรือ ดังนั้น คลองแคจึงไม่อยู่ในสภาพที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมาตามปกติไม่ใช่ทางสาธารณะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 เมื่อที่ดินโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ จึงต้องออกทางพิพาทไปสู่ถนนสาธารณะประโยชน์ ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นของที่ดินโจทก์
ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นตามสภาพ สามารถใช้รถยนต์แล่นผ่านได้ โจทก์จึงนำรถยนต์บรรทุกแล่นผ่านทางพิพาทได้ เพราะเป็นการใช้ทางพิพาทสัญจรตามปกติโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ที่ดินของจำเลย
การที่จำเลยใช้ไม้ปิดกั้นมิให้โจทก์นำรถยนต์บรรทุกเข้าไปถมดินในที่ดินของโจทก์นั้น เนื่องจากรถยนต์บรรทุกมีน้ำหนักมากอาจเกิดความเสียหายแก่ที่ดินของจำเลยได้ จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยมีอำนาจที่จะป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย มิได้มีเจตนาจะแกล้งให้โจทก์ต้องได้รัความเสียหาย และมิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อ การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นตามสภาพ สามารถใช้รถยนต์แล่นผ่านได้ โจทก์จึงนำรถยนต์บรรทุกแล่นผ่านทางพิพาทได้ เพราะเป็นการใช้ทางพิพาทสัญจรตามปกติโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ที่ดินของจำเลย
การที่จำเลยใช้ไม้ปิดกั้นมิให้โจทก์นำรถยนต์บรรทุกเข้าไปถมดินในที่ดินของโจทก์นั้น เนื่องจากรถยนต์บรรทุกมีน้ำหนักมากอาจเกิดความเสียหายแก่ที่ดินของจำเลยได้ จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยมีอำนาจที่จะป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย มิได้มีเจตนาจะแกล้งให้โจทก์ต้องได้รัความเสียหาย และมิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อ การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6158/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น ทางภาระจำยอม การใช้ทางสัญจร และขอบเขตความรับผิดทางละเมิด
คลองแคมีกว้างประมาณ6เมตรแม้จะมีน้ำตลอดปีแต่ก็มีสภาพเน่าเสียร่องน้ำตรงกลางกว้างประมาณ1เมตรริมคลองมีต้นกก บางส่วนของคลองตื้นเขินปัจจุบันไม่ค่อยมีเรือผ่านเนื่องจากมีถนนสาธารณะเลียบริมคลองชาวบ้านใช้รถยนต์ไม่ใช้เรือดังนั้นคลองแคจึงไม่อยู่ในสภาพที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมาตามปกติไม่ใช่ทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349เมื่อที่ดินโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จึงต้องออกทางพิพาทไปสู่ถนนสาธารณะประโยชน์ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นของที่ดินโจทก์ ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นตามสภาพสามารถใช้รถยนต์แล่นผ่านได้โจทก์จึงนำรถยนต์บรรทุกแล่นผ่านทางพิพาทได้เพราะเป็นการใช้ทางพิพาทสัญจรตามปกติโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ที่ดินของจำเลย การที่จำเลยใช้ไม้ปิดกั้นมิให้โจทก์นำรถยนต์บรรทุกเข้าไปถมดินในที่ดินของโจทก์นั้นเนื่องจากรถยนต์บรรทุกมีน้ำหนักมากอาจเกิดความเสียหายแก่ที่ดินของจำเลยได้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยมีอำนาจที่จะป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยมิได้มีเจตนาจะแกล้งให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหายและมิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5273/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภารจำยอม: การใช้ทางจำเป็นเพื่อรักษาและใช้สิทธิ แม้มีการถมทางเพื่อปรับระดับให้เสมอถนนสาธารณะ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1391 เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิที่ทำการถมทางภารจำยอมเพื่อเป็นการรักษาและใช้ภารจำยอมเนื่องจากทางราชการได้ก่อสร้างถนนของทางราชการสูงกว่าทางภารจำยอม จึงต้องถมทางภารจำยอมให้สูงเสมอ กับถนนของทางราชการได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3029/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางร่วมของเจ้าของรวมที่ดิน แม้มีทางออกสู่สาธารณะแล้ว ไม่ถือเป็นทางจำเป็น
โจทก์เป็นเจ้าของรวมที่ดินโฉนดที่1924มีสิทธิใช้ที่ดินแปลงนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1360เมื่อที่ดินโฉนดที่1924มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้โจทก์ในฐานะเจ้าของที่ดินโฉนดที่28447ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดที่1924ย่อมใช้ที่ดินโฉนดที่1924ที่โจทก์เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยออกสู่ทางสาธารณะได้ด้วยโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นไม่ว่าจะเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349หรือมาตรา1350
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2880/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็นต้องเกิดขึ้นจากที่ดินแปลงเดิมที่แบ่งแยก หากแบ่งแยกแล้วติดถนนสาธารณะ ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องทางจำเป็นจากที่ดินแปลงอื่น
ที่ดินโฉนดเลขที่ 23454 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 23455ได้แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2336 เมื่อแยกออกมาแล้วทางทิศใต้ของที่ดินทั้ง 2 แปลงต่างอยู่ติดซอยสาธารณะ ต่อมาโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 23455แล้วเพิ่งแบ่งแยกที่ดินกันเองในเวลาต่อมาออกเป็น 3 แปลงคือ แปลงในสุดซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือโฉนดเลขที่ 209886 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 แปลงกลางโฉนดเลขที่ 209887เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 เป็นเหตุให้ที่ดินแปลงในสุดและแปลงกลางไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่23455 ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ซอยสาธารณะตามเดิมเช่นนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 209886 และโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 209887 ชอบที่จะเรียกร้องเอาทางเดินได้เฉพาะที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 23455 ของโจทก์ที่ 3 ที่ได้แบ่งแยกมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1350 หาใช่เรียกร้องทางเดินจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 23455 ของจำเลยไม่ ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจึงไม่ตกเป็นทางจำเป็น