พบผลลัพธ์ทั้งหมด 212 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องอาญาต้องชัดเจนถึงเจตนา หากไม่ระบุเจตนาฆ่า แม้จะอ้างมาตรา 250 ก็ลงโทษไม่ได้ และการนับโทษต่อต้องมีหลักฐานชัดเจน
ฟ้องโจทก์กล่าวว่าจำเลยกับพวกได้สมคบกันมีอาวุธปืนและไม้ฆ้อนเป็นศาสตราวุธตียิงทำร้ายร่างกายนายกุ่นและนายมาเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้โดยจำเลยประสงค์จะเอาทรัพย์แล้วจำเลยกับพวกได้ปล้นเอาทรัพย์ของนายกุ่นนายมาไป ฯลฯนายกุ่นได้ถึงแก่ความตายโดยพิษบาดแผลที่ถูกทำร้าย ฯลฯดังนี้เห็นได้ชัดว่าฟ้องโจทก์บรรยายถึงแต่เรื่องปล้นทรัพย์และเจ้าทรัพย์ถูกทำร้ายมีบาดเจ็บสาหัสและถึงตาย มิได้ระบุว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเจ้าทรัพย์เลย จะอ้างว่าโจทก์ได้ใส่หัวเรื่องในข้อหาฐานความผิดว่าสมคบกันทำการปล้นทรัพย์และฆ่าคนตายโดยเจตนามาประกอบฟ้องให้เข้าเกณฑ์ความผิดตามมาตรา 250 ก็ไม่ได้ เพราะหัวเรื่องนั้นไม่เรียกว่าบรรยายฟ้อง ดังนี้แม้โจทก์จะอ้างบทมาตรา 250 มาด้วยก็ดี ก็ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 250 ไม่ได้ เพราะจำเลยเข้าใจข้อหาแต่เพียงว่าการปล้นทรัพย์ของจำเลยได้ทำให้เจ้าทรัพย์มีบาดเจ็บสาหัส
เมื่อไม่ปรากฏในสำนวนเลยว่าจำเลยเป็นคนคนเดียวกับในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ทั้งไม่ปรากฏว่าได้ต้องโทษอยู่ในคดีดังกล่าว และจำเลยก็มิได้ให้การรับ ดังนี้จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้
เมื่อไม่ปรากฏในสำนวนเลยว่าจำเลยเป็นคนคนเดียวกับในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ทั้งไม่ปรากฏว่าได้ต้องโทษอยู่ในคดีดังกล่าว และจำเลยก็มิได้ให้การรับ ดังนี้จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อจากสำนวนคดีอาญา ต้องมีคำพิพากษาลงโทษในคดีเดิมก่อน จึงจะนับโทษต่อได้
การขอนับโทษต่อ
หลักในเรื่องการนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใด จะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้ว เมื่อศาลพิพากษาคดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนเรื่องก่อนได้ เมื่อสำนวนคดีเรื่องก่อนยังไม่ปรากฏว่าได้พิพากษา(ยังเป็นคดีดำอยู่)จึงไม่มีโทษอันใดที่ศาลจะไปนับต่อให้ได้ แม้จะเป็นความจริงตามข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าคดีเรื่องก่อนนั้นในเวลาต่อมา ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว แต่ในสำนวนคดีเรื่องหลังก็ไม่ปรากฏว่าสำนวนคดีเรื่องก่อนได้พิพากษาลงโทษไปแล้วก่อนคดีเรื่องหลัง จึงนับโทษคดีเรื่องหลังต่อจากโทษในคดีเรื่องก่อนนั้นไม่ได้
หลักในเรื่องการนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใด จะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้ว เมื่อศาลพิพากษาคดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนเรื่องก่อนได้ เมื่อสำนวนคดีเรื่องก่อนยังไม่ปรากฏว่าได้พิพากษา(ยังเป็นคดีดำอยู่)จึงไม่มีโทษอันใดที่ศาลจะไปนับต่อให้ได้ แม้จะเป็นความจริงตามข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าคดีเรื่องก่อนนั้นในเวลาต่อมา ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว แต่ในสำนวนคดีเรื่องหลังก็ไม่ปรากฏว่าสำนวนคดีเรื่องก่อนได้พิพากษาลงโทษไปแล้วก่อนคดีเรื่องหลัง จึงนับโทษคดีเรื่องหลังต่อจากโทษในคดีเรื่องก่อนนั้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกควบกันหรือไม่ เป็นดุลพินิจศาลอุทธรณ์ ฎีกาต้องห้ามหากเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
จะนับโทษต่อให้หรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจของศาล
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะในข้อที่ให้นับโทษจำคุกจำเลยสองสำนวนควบกันไปโดยไม่นับโทษติดต่อกันนั้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะในข้อที่ให้นับโทษจำคุกจำเลยสองสำนวนควบกันไปโดยไม่นับโทษติดต่อกันนั้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกควบกัน ศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อย โจทก์ฎีกาไม่ได้
การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลยพินิจให้นับโทษจำคุกจำเลยสองสำนวนควบกันไปโดยไม่นับโทษติดต่อกันถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย โจทก์จะฎีกาโต้แย้งในเรื่องการขอให้นับโทษต่อไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม.218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกควบกัน: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่โต้แย้งการใช้ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการนับโทษ
การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจให้นับโทษจำคุกจำเลยสองสำนวนควบกันไปโดยไม่นับโทษติดต่อกันถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยโจทก์จะฎีกาโต้แย้งในเรื่องการขอให้นับโทษต่อไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 742/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อในคดีอาญา: จำเป็นต้องระบุชัดเจนว่าจำเลยได้รับโทษในคดีเดิมแล้ว
ในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ได้บรรยายความว่าจำเลยได้รับโทษในคดีดำที่ 61/2498 แล้ว คงกล่าวเพียงว่า "ขอให้นับโทษจำเลยตามคดีดำที่ 61/2498 ซึ่งบัดนี้คดีดำที่ 61/2498 ของศาลอาญาให้ติดต่อกันด้วย" ความจริงไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยต้องรับโทษในคดีนั้นหรือไม่ จึงไม่นับโทษต่อให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831-1833/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกต่อจากคดีอื่น ต้องมีคำขอในฟ้องหรือก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เกี่ยวกับกำหนดเวลาจำคุกผู้กระทำผิดตามคำพิพากษานั้น ก.ม.อาญา ม.32 บัญญัตินับแต่วันต้องคุมขัง เว้นแต่ในคำพิพากษาจะสั่งเป็นอย่างอื่น เช่นสั่งให้นับแต่วันคดีถึงที่สุดเป็นต้น
แต่ถ้าจะสั่งให้นับต่อจากคดีเรื่องอื่นก็จำต้องมีคำขอเช่นนั้น ซึ่งโดยปกติโจทก์ต้องขอมาในฟ้อง ถ้าจะขอภายหลังก็ต้องขอก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ตาม ป.วิ.อาญา ม.163 แม้ ม.215 จะให้นำบทบัญญัติที่ว่าด้วยการพิจารณาและว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นมาบังคับในชั้นศาลอุทธรณ์ด้วยโดยอนุโลมก็ดี ม.163 ก็อยู่ในลักษณะฟ้องคดีอาญาและไต่สวนมูลฟ้องหาได้อยู่ในลักษณะการพิจารณาไม่ จึงอาศัยความในมาตรานี้นับโทษต่อให้ไม่ได้.
แต่ถ้าจะสั่งให้นับต่อจากคดีเรื่องอื่นก็จำต้องมีคำขอเช่นนั้น ซึ่งโดยปกติโจทก์ต้องขอมาในฟ้อง ถ้าจะขอภายหลังก็ต้องขอก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ตาม ป.วิ.อาญา ม.163 แม้ ม.215 จะให้นำบทบัญญัติที่ว่าด้วยการพิจารณาและว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นมาบังคับในชั้นศาลอุทธรณ์ด้วยโดยอนุโลมก็ดี ม.163 ก็อยู่ในลักษณะฟ้องคดีอาญาและไต่สวนมูลฟ้องหาได้อยู่ในลักษณะการพิจารณาไม่ จึงอาศัยความในมาตรานี้นับโทษต่อให้ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831-1833/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกต่อจากคดีอื่น ต้องมีคำขอตั้งแต่ในฟ้อง หรือก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เกี่ยวกับกำหนดเวลาจำคุกผู้กระทำผิดตามคำพิพากษานั้นกฎหมายอาญา มาตรา 72 บัญญัตินับแต่วันต้องคุมขัง เว้นแต่ในคำพิพากษาจะสั่งเป็นอย่างอื่น เช่นสั่งให้นับแต่วันคดีถึงที่สุดเป็นต้น
แต่ถ้าจะสั่งให้นับต่อจากคดีเรื่องอื่นก็จำต้องมีคำขอเช่นนั้น ซึ่งโดยปกติโจทก์ต้องขอมาในฟ้อง ถ้าจะขอภายหลังก็ต้องขอก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 แม้ มาตรา 215 จะให้นำบทบัญญัติที่ว่าด้วยการพิจารณาและว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นมาบังคับในชั้นศาลอุทธรณ์ด้วยโดยอนุโลมก็ดี มาตรา 163 ก็อยู่ในลักษณะฟ้องคดีอาญาและไต่สวนมูลฟ้องหาได้อยู่ในลักษณะการพิจารณาไม่ จึงอาศัยความในมาตรานี้นับโทษต่อให้ไม่ได้
แต่ถ้าจะสั่งให้นับต่อจากคดีเรื่องอื่นก็จำต้องมีคำขอเช่นนั้น ซึ่งโดยปกติโจทก์ต้องขอมาในฟ้อง ถ้าจะขอภายหลังก็ต้องขอก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 แม้ มาตรา 215 จะให้นำบทบัญญัติที่ว่าด้วยการพิจารณาและว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นมาบังคับในชั้นศาลอุทธรณ์ด้วยโดยอนุโลมก็ดี มาตรา 163 ก็อยู่ในลักษณะฟ้องคดีอาญาและไต่สวนมูลฟ้องหาได้อยู่ในลักษณะการพิจารณาไม่ จึงอาศัยความในมาตรานี้นับโทษต่อให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1044/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกเพื่อการกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย ต้องเป็นโทษจำคุกที่ได้รับมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยแต่ละครั้งเป็นการกระทำความผิดใหม่
ปัญหาว่าโทษครั้งก่อนที่จำเลยกระทำผิดมาจะเข้าเกณฑ์ที่ศาลจะใช้ดุลยพินิจวางโทษจำเลยฐานมีสันดานเป็นผู้ร้ายตาม พ.ร.บ.กักกันฯ พ.ศ.2479 หรือไม่นั้น ถือว่าเป็นปัญหาข้อ ก.ม.ฎีกาได้
ตาม พ.ร.บ.กักกัน ฯ พ.ศ.2479 ม.8 ว่า บุคคลที่มีสันดานเป็นผู้ร้ายจะต้องเป็นบุคคลที่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ๆ คำว่า "ครั้ง " ตามมาตรานี้หมายความว่าเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วซึ่งเรียกได้ว่าครั้งที่ 1 ยังขืนไปกระทำความผิดขึ้นใหม่และเมื่อศาลพิพากษาลงโทษสำหรับความผิดครั้งใหม่นี้จึงเป็นครั้งที่ 2 หาใช่เรื่องบุคคลที่จะทำความผิดมาแล้วหลายเรื่องหรือกระทำความผิดหลายกะทงและถูกแยกฟ้องเป็นหลายสำนวนไม่ ในกรณีเช่นนี้เมื่อศาลพิพากษาลงโทษตาม+เรียกได้ว่ากระทำความผิดเพียงครั้งเดียวเพราะยังมิได้กระทำความผิดอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลมาแล้วจะเอาโทษสำหรับความผิดในเรื่องก่อน ๆ มาวินิจฉัยเป็นหลายครั้งไม่ได้
ตาม พ.ร.บ.กักกัน ฯ พ.ศ.2479 ม.8 ว่า บุคคลที่มีสันดานเป็นผู้ร้ายจะต้องเป็นบุคคลที่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ๆ คำว่า "ครั้ง " ตามมาตรานี้หมายความว่าเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วซึ่งเรียกได้ว่าครั้งที่ 1 ยังขืนไปกระทำความผิดขึ้นใหม่และเมื่อศาลพิพากษาลงโทษสำหรับความผิดครั้งใหม่นี้จึงเป็นครั้งที่ 2 หาใช่เรื่องบุคคลที่จะทำความผิดมาแล้วหลายเรื่องหรือกระทำความผิดหลายกะทงและถูกแยกฟ้องเป็นหลายสำนวนไม่ ในกรณีเช่นนี้เมื่อศาลพิพากษาลงโทษตาม+เรียกได้ว่ากระทำความผิดเพียงครั้งเดียวเพราะยังมิได้กระทำความผิดอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลมาแล้วจะเอาโทษสำหรับความผิดในเรื่องก่อน ๆ มาวินิจฉัยเป็นหลายครั้งไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1044/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกเพื่อเพิ่มโทษกักกันตาม พ.ร.บ.กักกันฯ ต้องพิจารณาเป็นรายครั้ง หากยังไม่เคยได้รับโทษจำคุกถึง 2 ครั้ง การเพิ่มโทษกักกันจึงไม่ชอบ
ปัญหาว่าโทษครั้งก่อนที่จำเลยกระทำผิดมาจะเข้าเกณฑ์ที่ศาลจะใช้ดุลพินิจวางโทษจำเลยฐานมีสันดานเป็นผู้ร้ายตาม พระราชบัญญัติกักกันฯ พ.ศ.2479 หรือไม่นั้น ถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายฎีกาได้
ตาม พระราชบัญญัติกักกันฯ พ.ศ.2479 มาตรา 8 ว่า บุคคลที่มีสันดานเป็นผู้ร้ายจะต้องเป็นบุคคลที่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้งๆ คำว่า "ครั้ง" ตามมาตรานี้หมายความว่าเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วซึ่งเรียกได้ว่าครั้งที่ 1 ยังขืนไปกระทำความผิดขึ้นใหม่ และเมื่อศาลพิพากษาลงโทษสำหรับความผิดครั้งใหม่นี้จึงเป็นครั้งที่ 2 หาใช่เรื่องบุคคลที่จะทำความผิดมาแล้วหลายเรื่องหรือกระทำความผิดหลายกระทงและถูกแยกฟ้องเป็นหลายสำนวนไม่ ในกรณีเช่นนี้เมื่อศาลพิพากษาลงโทษตามสำนวนนั้นได้เรียกได้ว่ากระทำความผิดเพียงครั้งเดียวเพราะยังมิได้กระทำความผิดอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลมาแล้ว จะเอาโทษสำหรับความผิดในเรื่องก่อนๆ มาวินิจฉัยเป็นหลายครั้งไม่ได้
ตาม พระราชบัญญัติกักกันฯ พ.ศ.2479 มาตรา 8 ว่า บุคคลที่มีสันดานเป็นผู้ร้ายจะต้องเป็นบุคคลที่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้งๆ คำว่า "ครั้ง" ตามมาตรานี้หมายความว่าเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วซึ่งเรียกได้ว่าครั้งที่ 1 ยังขืนไปกระทำความผิดขึ้นใหม่ และเมื่อศาลพิพากษาลงโทษสำหรับความผิดครั้งใหม่นี้จึงเป็นครั้งที่ 2 หาใช่เรื่องบุคคลที่จะทำความผิดมาแล้วหลายเรื่องหรือกระทำความผิดหลายกระทงและถูกแยกฟ้องเป็นหลายสำนวนไม่ ในกรณีเช่นนี้เมื่อศาลพิพากษาลงโทษตามสำนวนนั้นได้เรียกได้ว่ากระทำความผิดเพียงครั้งเดียวเพราะยังมิได้กระทำความผิดอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลมาแล้ว จะเอาโทษสำหรับความผิดในเรื่องก่อนๆ มาวินิจฉัยเป็นหลายครั้งไม่ได้