คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ป่าสงวน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 177 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1914/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำลายต้นไม้ในป่าสงวนแห่งชาติของผู้ได้รับอนุญาตทำกินก่อน การกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ
ที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตจากทางการให้อยู่อาศัย หากินเพราะจำเลยเคยทำกิจมาก่อน ต่อมาทางการได้ปลูกต้นไม้ ในที่ดินดังกล่าว จำเลยได้เข้าไปไถในที่เกิดเหตุเป็นเนื้อที่ 12 ไร่ ทำให้ต้นไม้ที่ทางการปลูกไว้เสียหาย ดังนี้จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ พระราชบัญญัติป่าไม้สงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 โดยถือว่า การกระทำของจำเลยเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ตามความหมายแห่งมาตรา 14 ดังกล่าว (กรรมเดียวหลายบท)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินในเขตป่าสงวน: ผู้ครอบครองเดิมไม่มีอำนาจฟ้องไล่ผู้ครอบครองรายใหม่
ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์จะครอบครองมาก่อนแล้วให้จำเลยเข้าอาศัยทำกิน โจทก์ก็ไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่มีสิทธิเอาที่พิพาทให้จำเลยอาศัยทำกิน ในระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกัน เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนที่พิพาทหรือห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินป่าสงวน: ผู้ครอบครองก่อนไม่มีสิทธิฟ้องไล่ผู้ครอบครองภายหลัง
ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์จะครอบครองมาก่อนแล้วให้จำเลยเข้าอาศัยทำกิน โจทก์ก็ไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง ไม่มีสิทธิเอาที่พิพาทให้จำเลยอาศัยทำกินในระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกัน เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนที่พิพาทหรือห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขุดหินลูกรังในเขตป่าสงวน ถือเป็นความผิดสำเร็จตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ รถบรรทุกหินลูกรังเป็นของกลางที่ต้องริบ
ขุดหินลูกรังในเขตป่าสงวนแห่งชาติบรรทุกรถยนต์ ยังไม่ได้นำออกจากป่า เป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เป็นความผิดสำเร็จตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา14,31 รถยนต์ใช้บรรทุกของป่าต้องริบตาม มาตรา35

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องจำกัดในกรณีที่ดินพิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ผู้ให้เช่าต้องเป็นเจ้าของ
เมื่อที่ดินเป็นป่าสงวนแห่งชาติ มิใช่ของโจทก์ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจนำที่ดินดังกล่าวให้จำเลยเช่า และไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องในสัญญาเช่าที่ดินป่าสงวน การไม่มีสิทธิในที่ดินย่อมขาดอำนาจฟ้อง
เมื่อที่ดินเป็นป่าสงวนแห่งชาติ มิใช่ของโจทก์โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจนำที่ดินดังกล่าวให้จำเลยเช่า และไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดครองป่าสงวนแห่งชาติ แม้มีหนังสืออนุญาตจากนายกฯ แต่ทราบหลังเกิดเหตุ จึงไม่อาจอ้างความสุจริตได้
จำเลยร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติ และอ้างว่ามีหนังสือของนายกรัฐมนตรีที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเรื่องราษฎรเข้าทำกินในที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากการกระทำผิด เมื่อจำเลยทราบข้อความตามหนังสือของนายกรัฐมนตรีหลังที่เกิดเหตุคดีนี้แล้ว จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจตามหนังสือฉบับนั้นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด การที่หนังสือดังกล่าวไม่ให้เอาผิดราษฎรที่เข้าทำไร่นาในป่าสงวนอยู่ก่อนแล้ว และถ้าถูกเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังไว้ก็ให้ปล่อยตัวไปนั้น เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยฎีกาว่า ถ้าศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยก็ขอให้รอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ การอ้างหนังสืออนุญาตจากนายกรัฐมนตรีหลังเกิดเหตุไม่เป็นเหตุให้พ้นผิด
จำเลยร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติและอ้างว่ามีหนังสือของนายกรัฐมนตรีที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเรื่องราษฎรเข้าทำกินในที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากการกระทำผิด เมื่อจำเลยทราบข้อความตามหนังสือของนายกรัฐมนตรีหลังที่เกิดเหตุคดีนี้แล้ว จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจตามหนังสือฉบับนั้นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด การที่หนังสือดังกล่าวไม่ให้เอาผิดราษฎรที่เข้าทำไร่นาในป่าสงวนอยู่ก่อนแล้ว และถ้าถูกเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังไว้ก็ให้ปล่อยตัวไปนั้น เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติจำเลยฎีกาว่า ถ้าศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยก็ขอให้รอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2890-2891/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาความผิดทางอาญา: การกระทำที่ขาดเจตนาเนื่องจากความเข้าใจผิดจากเจ้าหน้าที่
หลังจากทางราชการเข้าไปรังวัดเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้วทางราชการมิได้แจ้งหรือฟ้องขับไล่ให้จำเลยออกจากป่าสงวนแห่งชาติ แต่กลับออกประกาศกำหนดให้ผู้ครอบครองที่ดินแจ้งการครอบครองเพื่อจะพิจารณาสอบสิทธิของผู้ครอบครองที่ดิน จำเลยก็ยื่นคำร้องว่าตนมีสิทธิในที่ดินที่ครอบครองภายในกำหนด นอกจากนี้ทางราชการยังเรียกประชุมราษฎรห้ามมิให้บุกเบิกป่าสงวนแห่งชาติต่อไป คงให้ทำกินเฉพาะที่ทำกินอยู่แล้วจึงทำให้จำเลยเชื่อว่าตนมีสิทธิทำกินในที่ดินที่ตนยึดถือครอบครองอยู่จนกว่าทางราชการจะสอบสิทธิของจำเลยเสร็จและแจ้งผลการสอบสิทธิให้จำเลยทราบว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าต่อมาทางราชการแจ้งผลการสอบสิทธิว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดิน ที่จำเลยยึดถือครอบครองอยู่แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิด จำเลยจึงไม่มีความผิดดังฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในต้นยางบนที่ดินในเขตป่าสงวน และความรับผิดทางละเมิดจากไฟไหม้
สวนยางของโจทก์อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่โจทก์ปลูกต้นยางและครอบครองก็ตาม โจทก์มีสิทธิในต้นยางดีกว่าผู้อื่นระหว่างเอกชนด้วยกัน จำเลยทำละเมิดให้ไฟไหม้ต้นยางของโจทก์เสียหาย ต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม มาตรา 420
of 18