คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พิจารณา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 380 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4064/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต้องพิจารณาสาเหตุ ไม่ใช่แค่การจ่ายค่าชดเชย
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 นั้นจะต้องพิจารณาถึงสาเหตุอันเป็นมูลเลิกจ้างว่าเป็นสาเหตุที่สมควรหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุว่านายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างหรือไม่ เพราะการจ่ายค่าชดเชยเป็นผลตามมาภายหลังการเลิกจ้าง
อ.แอบกระโดดขึ้นรถโดยสารที่โจทก์ขับและมีเงินค่าโดยสารไม่พอโจทก์จึงเรียกเก็บเพียงครึ่งราคาโดยไม่ได้มีเจตนาทุจริตหรือเจตนาทำผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลย การที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ พิจารณาจากเอกสารท้ายฟ้องและเนื้อหาโดยรวม
การที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเอกสารหมายเลข 3 ซึ่งที่ถูกเป็นเอกสารหมายเลข 2 นั้น ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยถึงเอกสารฉบับที่ถูกต้องได้และเมื่อได้ความตามคำฟ้องว่าสิทธิของโจทก์ในที่ดินตามฟ้องเกิดจากการเช่านาซึ่งมีกฎหมายว่าด้วยการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมคุ้มครอง จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยเข้าไปทำถนนในที่ดินซึ่งโจทก์เช่า ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายทำนาตามปกติไม่ได้ คำฟ้องนั้นจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว
เอกสารท้ายคำฟ้องทุกฉบับย่อมเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง และการวินิจฉัยว่าคำฟ้องใดเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาคำฟ้องรวมกันทั้งฉบับ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ที่ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อ ศาลมีอำนาจรับพิจารณา
อุทธรณ์ของจำเลยได้ระบุข้อเท็จจริงที่จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยย่อ เพียงแต่ไม่ได้ย่อทางนำสืบของโจทก์จำเลยเท่านั้นไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ถือได้ว่าได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อที่ยกขึ้นอ้างอิงไว้แล้ว เป็นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจรับไว้พิจารณาได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2954/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากคำฟ้องเดิมตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นพิจารณา และขอบเขตความรับผิดของผู้สนับสนุนการกระทำผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซึ่งเป็นความผิดที่มีการกระทำอย่างเดียวแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่3ได้ชกต่อยทำร้ายร่างกายผู้ตายโดยมิได้กระทำร่วมกับจำเลยที่1จำเลยที่3กระทำโดยลำพังตนเองเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนมีการกระทำผิดฐานฆ่าผู้ตายโจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยที่3จึงลงโทษจำเลยที่3ฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสี่ โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่1ที่2เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่2มิได้ร่วมกับจำเลยที่1ยิงผู้ตายเป็นแต่จำเลยที่2ได้ร้องบอกจำเลยที่1ขึ้นว่าพี่พลยิงเลยอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่1กระทำผิดเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา84ดังนี้จะลงโทษจำเลยที่2ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาเป็นเรื่องที่จำเลยที่2เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่1กระทำผิดเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญอย่างมากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสอง แต่การที่จำเลยที่2ร้องบอกจำเลยที่1ขึ้นว่าพี่พลยิงเลยเป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่1กระทำความผิดเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา86ด้วยซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้(วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่6/2529).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าหรือไม่: พิจารณาจากการกระทำ, เหตุการณ์, และบาดแผลของผู้เสียหาย
ใช้มีดขนาดค่อนข้างยาวฟันโดยมิได้เลือกฟันในส่วนที่สำคัญของร่างกายคงฟันในโอกาสที่อำนวยทั้งเหตุที่ต้องทำร้ายก็เกิดในระยะเวลาที่กระชั้นชิดและไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุอย่างใดที่เป็นการร้ายแรงถึงขนาดจะต้องเอาชีวิตมาก่อนและบาดแผลที่ได้รับก็ไม่ถึงขนาดฉกรรจ์อีกด้วย จึงถือไม่ได้ว่ามีเจตนาฆ่าหากแต่เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2769/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลดโทษจำคุกคดียาเสพติด: ประวัติเกี่ยวข้องยาเสพติดเดิมมีผลต่อการพิจารณา
ฎีกาขอให้ศาลลดโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้เพื่อจำหน่ายศาลล่างลงโทษจำคุก13ปี4เดือนจำเลยฎีกาขอให้ลดโทษลงอีกปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษในความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองและมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทมาก่อนแม้จำเลยจะได้รับการล้างมลทินความผิดดังกล่าวตามพ.ร.บ.ล้างมลทินในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์200ปีพ.ศ.2526ก็ตามก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะลดโทษลงอีกเพราะจำเลยมีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษตลอดมาและเฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษที่มีความร้ายแรงเป็นภัยต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2679/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งในคำให้การ: ศาลต้องพิจารณา แม้ใช้แบบพิมพ์ไม่ถูกต้อง
จำเลยฟ้องแย้งและมีคำขอบังคับโจทก์รวมมาในคำให้การแม้ไม่ได้พิมพ์คำว่า 'และฟ้องแย้ง' ต่อจากคำว่า 'คำให้การ' ในแบบพิมพ์ก็ตาม ก็เป็นฟ้องแย้งตรงกับบทบัญญัติของมาตรา 177 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว ศาลแรงงานกลางมีหน้าที่ต้องตรวจฟ้องแย้งของจำเลยและมีคำสั่งตามที่พิจารณาเห็นสมควรว่าจะรับไว้พิจารณาต่อไปหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางมิได้มีคำสั่งเสียในชั้นแรกที่จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าว และมาวินิจฉัยในคำพิพากษาว่าจะรับพิจารณาฟ้องแย้งไม่ได้ เพราะมิได้ใช้แบบพิมพ์ให้ถูกต้องจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1591/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาอุทธรณ์ก่อนวินิจฉัยคดีตามมาตรา 245 หากไม่ทำ ถือไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ก่อนแล้วต่อมาศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย และส่งอุทธรณ์มายังศาลอุทธรณ์ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะทำคำพิพากษาแต่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย แต่กลับวินิจฉัยคดีตามมาตรา 245 ดังนี้ ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ล้มละลาย: การพิจารณาหนี้สินและทรัพย์สินเพื่อพิสูจน์สภาพบุคคลล้มละลาย
คำฟ้องโจทก์บรรยายถึงมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องว่า เป็นหนี้ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วมีจำนวนแน่นอนเกินกว่า 30,000 บาทถึงกำหนดชำระแล้ว จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมด แต่ทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีการจำนองไว้ เจ้าหนี้จำนองได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยในฐานะเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิไว้ต่อศาล ทรัพย์สินอื่นๆ ก็มีราคาไม่พอชำระหนี้ จำเลยจึงเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 9 ครบถ้วนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบด้วยพระราบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 153 ไม่ต้องบรรยายให้เข้าหลักเกณฑ์แห่งข้อสันนิษฐานตาม พระราชบัญญัติ ล้มละลายฯมาตรา 8 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2209/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาคำร้องขอถอนฟ้องก่อนพิพากษาคดีความผิดอันยอมความได้
คดีความผิดอันยอมความกันได้เมื่อคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ มีคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของทนายโจทก์ขึ้นมา การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดไปตามประเด็นแห่งคดีโดยมิได้พิจารณาและสั่งคำร้องดังกล่าวเสียก่อนจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ก่อน
of 38