พบผลลัพธ์ทั้งหมด 165 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2517/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต่างเรื่องต่างประเด็นจากฟ้องเดิม ศาลไม่รับฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาทซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ปลูกสร้างห้องขึ้นอีก 1 หลังหลังห้องแถวพิพาท ซึ่งโจทก์ทราบและยินยอมให้ปลูก ขอให้พิพากษาว่าอาคารห้องแถวที่ปลูกขึ้นใหม่เป็นของจำเลย ให้จำเลยมีสิทธิ์อยู่ในอาคารนั้น หรือให้จำเลยรื้อถอนอาคารนั้นไปได้ ฟ้องแย้งจึงเป็นกรณีต่างเรื่องต่างประเด็นกับคำฟ้องเดิม ศาลย่อมไม่รับฟ้องแย้งดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2517/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต่างเรื่องต่างประเด็นกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาทซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ปลูกสร้างห้องขึ้นอีก 1 ห้องหลังห้องแถวพิพาท ซึ่งโจทก์ทราบและยินยอมให้ปลูก ขอให้พิพากษาว่าอาคารห้องแถวที่ ปลูกขึ้นใหม่เป็นของจำเลย ให้จำเลยมีสิทธิอยู่ในอาคารนั้น หรือให้จำเลยรื้อถอนอาคารนั้นไปได้ ห้องแย้งจึงเป็นกรณีต่างเรื่องต่างประเด็นกับคำฟ้องเดิม ศาลย่อมไม่รับฟ้องแย้งดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม หรืออาศัยมูลหนี้เดียวกัน ศาลพึงรับพิจารณาหากเชื่อมโยงกันได้
ฟ้องแย้งที่ศาลพึงรับไว้พิจารณาต้องเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ซึ่งหมายความว่าต้องเป็นฟ้องอาศัยฟ้องเดิมเป็นมูลแห่งหนี้ หรือต้องมีส่วนสัมพันธ์กับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3 และมาตรา 179 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ที่ 1 แล้วให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยโดยให้จำเลยชำระค่าเช่าแทน โจทก์ที่ 2 ต้องการตึกพิพากคืน จำเลยไม่คืนให้ขอให้ขับไล่ จำเลยฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเช่าเพื่อทำกิจการค้าขายหนังสือแล้วแบ่งส่วนให้จำเลยเป็นเปอร์เซนต์ โดยที่โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าตบแต่งตึกพิพาทเป็นการต่างตอบแทน เมื่อโจทก์จะให้จำเลยออกจากตึกพิพาทที่เช่าเพื่อโจทก์ที่ 2 จะทำการค้าเสียเอง โจทก์ที่ 2 จึงต้องชดใช้ค่าตบแต่งตึกพิพาทให้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าหรือนัยหนึ่งอาศัยฟ้องเดิมของโจทก์เป็นมูลหนี้นั่นเอง จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม พอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ (อ้างฎีกาที่ 442/2511) สมควรที่ศาลจะรับไว้พิจารณา
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ที่ 1 แล้วให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยโดยให้จำเลยชำระค่าเช่าแทน โจทก์ที่ 2 ต้องการตึกพิพากคืน จำเลยไม่คืนให้ขอให้ขับไล่ จำเลยฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเช่าเพื่อทำกิจการค้าขายหนังสือแล้วแบ่งส่วนให้จำเลยเป็นเปอร์เซนต์ โดยที่โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าตบแต่งตึกพิพาทเป็นการต่างตอบแทน เมื่อโจทก์จะให้จำเลยออกจากตึกพิพาทที่เช่าเพื่อโจทก์ที่ 2 จะทำการค้าเสียเอง โจทก์ที่ 2 จึงต้องชดใช้ค่าตบแต่งตึกพิพาทให้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าหรือนัยหนึ่งอาศัยฟ้องเดิมของโจทก์เป็นมูลหนี้นั่นเอง จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม พอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ (อ้างฎีกาที่ 442/2511) สมควรที่ศาลจะรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเกี่ยวกับสัญญาเช่าและการชดใช้ค่าตบแต่งสถานที่ ศาลรับพิจารณาได้หากเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
ฟ้องแย้งที่ศาลพึงรับไว้พิจารณาต้องเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมซึ่งหมายความว่าต้องเป็นฟ้องที่อาศัยฟ้องเดิมเป็นมูลแห่งหนี้ หรือต้องมีส่วนสัมพันธ์กับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3 และมาตรา 179 วรรคท้าย โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ที่ 1 แล้วให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยโดยให้จำเลยชำระค่าเช่าแทน โจทก์ที่ 2 ต้องการตึกพิพาทคืน จำเลยไม่คืนให้ขอให้ขับไล่ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเช่าเพื่อทำกิจการค้าขายหนังสือแล้วแบ่งส่วนให้จำเลยเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยโจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าตบแต่งตึกพิพาทเป็นการต่างตอบแทน เมื่อโจทก์จะให้จำเลยออกจากตึกพิพาทที่เช่าเพื่อโจทก์ที่ 2 จะทำการค้าเสียเอง โจทก์ที่ 2 จึงต้องชดใช้ค่าตบแต่งตึกพิพาทให้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าหรือนัยหนึ่งอาศัยฟ้องเดิมของโจทก์เป็นมูลหนี้นั่นเอง จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม พอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้(อ้างฎีกาที่ 442/2511)สมควรที่ศาลจะรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม: การคืนเงินค่าประกันภัยที่จ่ายไปแล้วในการเช่าซื้อรถ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวขอซื้อรถยนต์จากโจทก์โดยระบบเช่าซื้อ จำเลยที่ 2 ได้ชำระเงินมัดจำโดยสั่งจ่ายเช็คฉบับละ 5,000 บาทหลายฉบับ ต่อมาได้สั่งจ่ายเช็คอีก 2 ฉบับ มอบให้โจทก์แทนเช็คฉบับก่อนเช็ค 2 ฉบับนี้จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 ได้ลงนามเป็นผู้สั่งจ่ายแทนจำเลยที่ 1 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจ่ายเงินตามเช็คจำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายเงินค่าประกันรถที่เช่าซื้อจากโจทก์คันละ 5,000 บาทให้โจทก์เป็นผู้ไปประกันแล้วเอาสัญญาประกันภัยมามอบให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงจ่ายเช็คของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ไป 6 ฉบับๆ ละ 5,000 บาทโจทก์นำเช็ค 4 ฉบับเบิกเงินจากธนาคารไปแล้ว แต่ไม่นำสัญญาประกันภัยมาให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่นำเงินเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 จึงถูกตำรวจเรียกตัวไป แต่ตกลงกันได้โดยจำเลยที่ 2 จ่ายเงินให้โจทก์ตามเช็ค 2 ฉบับอีก 6,000 บาท จะจ่ายภายใน 3 วัน โจทก์มิได้ประกันภัยและนำสัญญาประกันภัยรถยนต์มาให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ฟ้องแย้ง ขอให้โจทก์คืนเงิน 24,000 บาท เงิน 24,000 บาทที่จำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งเรียกคืนนี้เป็นเงินที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเนื่องจากจำเลยที่ 2 จ่ายเป็นเช็คให้โจทก์เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2 เช่าซื้อรถไปจากโจทก์โดยเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 จ่ายเป็นค่าประกันภัยรถที่เช่าซื้อจากโจทก์ คำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม: ค่าประกันภัยรถเช่าซื้อ จำเลยมีสิทธิเรียกคืนเงินจากโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัว ขอซื้อรถยนต์จากโจทก์โดยระบบเช่าซื้อ จำเลยที่ 2 ได้ชำระเงินมัดจำโดยสั่งจ่ายเช็คฉบับละ 5,000 บาทหลายฉบับ ต่อมาได้สั่งจ่ายเช็คอีก 2 ฉบับ มอบให้โจทก์แทนเช็คฉบับก่อน เช็ค 2 ฉบับนี้จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 ได้ลงนามเป็นผู้สั่งจ่ายแทนจำเลยที่ 1. ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายเงินค่าประกันรถที่เช่าซื้อจากโจทก์คันละ 5,000 บาทให้โจทก์เป็นผู้ไปประกันแล้วเอาสัญญาประกันภัยมามอบให้จำเลยที่ 2. จำเลยที่ 2 จึงจ่ายเช็คของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ไป 6 ฉบับๆ ละ 5,000 บาท โจทก์นำเช็ค 4 ฉบับเบิกเงินจากธนาคารไปแล้ว แต่ไม่นำสัญญาประกันภัยมาให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่นำเงินเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 จึงถูกตำรวจเรียกตัวไป แต่ตกลงกันได้ โดยจำเลยที่ 2 จ่ายเงินให้โจทก์ตามเช็ค 2 ฉบับอีก 6,000 บาทจะจ่ายภายใน 3 วัน โจทก์มิได้ประกันภัยและนำสัญญาประกันภัยรถยนต์มาให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2ฟ้องแย้ง ขอให้โจทก์คืนเงิน 24,000 บาท เงิน 24,000 บาทที่จำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งเรียกคืนนี้ เป็นเงินที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเนื่องจากจำเลยที่ 2 จ่ายเป็นเช็คให้โจทก์เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2 เช่าซื้อรถไปจากโจทก์ โดยเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 จ่ายเป็นค่าประกันภัยรถที่เช่าซื้อจากโจทก์ คำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ศาลต้องไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะลูกหนี้ให้ชำระหนี้ จำเลยจะใช้สิทธิเรียกร้องของห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย ขึ้นฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยเป็นส่วนตัวไม่ได้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องอื่น ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ฟ้องและการสละสิทธิในคดีขับไล่: ศาลต้องพิจารณาตามฟ้องเดิมหากแก้ฟ้องไม่สำเร็จ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าเลขที่ 1 และ 1/1. จำเลยให้การต่อสู้ว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นของจำเลย.ดังนี้ ถ้าโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีในประเด็นข้อนี้โจทก์ก็อาจยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน แต่โจทก์ก็หาทำไม่. การที่โจทก์แถลงในวันชี้สองสถานว่าโจทก์ยอมยกกรรมสิทธิ์ในอู่รถยนต์ (บ้านเลขที่ 1/1)ให้จำเลย จะถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งมีขึ้นโดยโจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานหาได้ไม่. เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องภายหลังการชี้สองสถาน ศาลก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์. เมื่อไม่อนุญาตให้โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้อง ก็ต้องถือตามฟ้องเดิม.
โจทก์ฟ้องว่า บ้านเลขที่ 1/1 ใช้เป็นอู่ซ่อมรถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยเช่าจากโจทก์ ขอให้ขับไล่.จำเลยให้การว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย.ในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงยกกรรมสิทธิ์ให้จำเลย จึงเท่ากับโจทก์สละสิทธิที่จะดำเนินคดีกับจำเลยในประเด็นข้อนี้.ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามคำให้การของจำเลยว่าบ้านเลขที่1/1 เป็นของจำเลย. โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากบ้านของจำเลยเองไม่ได้.
ตามคำฟ้อง คำให้การของจำเลยไม่มีฝ่ายใดหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างว่าที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1 เป็นส่วนหนึ่งของการเช่าบ้านเลขที่ 1 จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องแปลสัญญาเช่าว่าจำเลยเช่าที่ดินตรงที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1ด้วยหรือไม่.
การที่ศาลวินิจฉัยตามสภาพที่ปรากฏในขณะที่ศาลไปเผชิญสืบตรวจดูที่พิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน.
โจทก์ฟ้องว่า บ้านเลขที่ 1/1 ใช้เป็นอู่ซ่อมรถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยเช่าจากโจทก์ ขอให้ขับไล่.จำเลยให้การว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย.ในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงยกกรรมสิทธิ์ให้จำเลย จึงเท่ากับโจทก์สละสิทธิที่จะดำเนินคดีกับจำเลยในประเด็นข้อนี้.ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามคำให้การของจำเลยว่าบ้านเลขที่1/1 เป็นของจำเลย. โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากบ้านของจำเลยเองไม่ได้.
ตามคำฟ้อง คำให้การของจำเลยไม่มีฝ่ายใดหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างว่าที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1 เป็นส่วนหนึ่งของการเช่าบ้านเลขที่ 1 จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องแปลสัญญาเช่าว่าจำเลยเช่าที่ดินตรงที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1ด้วยหรือไม่.
การที่ศาลวินิจฉัยตามสภาพที่ปรากฏในขณะที่ศาลไปเผชิญสืบตรวจดูที่พิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1122-1123/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรียกค่าใช้จ่ายผู้จัดการมรดกสัมพันธ์กับฟ้องเดิม สัญญาแบ่งมรดกเป็นเหตุ
ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่จำเลยเสียไปในการดำเนินคดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ซึ่งโจทก์จำเลยเป็นผู้ร้องขอร่วมกันและโจทก์ตกลงจะชดใช้ให้จำเลยครั้งหนึ่ง. โดยระบุไว้ในสัญญาแบ่งมรดก. แต่ภายหลังกลับถอนคำร้องเสีย เนื่องจากตกลงกันในการจัดการมรดกไม่ได้นั้น. เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีขอรับมรดกแต่ผู้เดียว และขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาแบ่งมรดกเป็นโมฆะ. จำเลยย่อมฟ้องแย้งเรียกค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตามที่ตกลงไว้ในสัญญาแบ่งมรดกจากโจทก์ได้. เพราะเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 886/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับพิจารณา ต้องรอคำพิพากษาคดีหลักก่อน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินและตึกพิพาทจากโจทก์ จำเลยไม่ชำระค่าเช่าค่าภาษีโรงเรือนให้โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยชำระค่าเช่าค่าเสียหาย และค่าภาษีโรงเรือน จำเลยฟ้องแย่งว่าให้โจทก์ไปจัดการจดทะเบียนการเช่าให้แก่จำเลยมีกำหนด 10 ปี ดังนี้ เมื่อสัญญาเช่านั้นมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยจะมาฟ้องบังคับโจทก์ให้จดทะเบียนหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 1538/2509) แม้ศาลจะรับฟ้องแย้งจำเลยไว้ จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดี
ส่วนข้อที่จำเลยฟ้องแย้งว่า ให้โจทก์ไปจัดการเก็บค่าเช่าเป็นรายเดือนตามประเพณีผู้ให้เช่าเดิมปฏิบัติให้โจทก์จัดการให้มีกระแสไฟฟ้า และน้ำประปาใช้ในตึกแถวรายพิพาท เมื่อโจทก์ปฏิบัติการดังกล่าวแล้ว จึงให้โจทก์ไปจัดการเก็บค่าเช่าและค่าภาษีโรงเรือนที่จำเลยยังไม่ได้ชำระให้ ดังนี้ ล้วนแต่เป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ทั้งเป็นฟ้องล่วงหน้าที่มีเงื่อนไขซึ่งหมายความว่า หากจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี มีสิทธิอยู่ในตึกพิพาท จึงจะมีสิทธิขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ปฏิบัติการตามฟ้องแย้งได้ เมื่อเป็นฟ้องแย้งที่จะรวมพิจารณาร่วมกับฟ้องเดิมไม่ได้ ก็ยังไม่เป็นฟ้องแย้งที่ควรจะพึงรับไว้พิจารณา
ส่วนข้อที่จำเลยฟ้องแย้งว่า ให้โจทก์ไปจัดการเก็บค่าเช่าเป็นรายเดือนตามประเพณีผู้ให้เช่าเดิมปฏิบัติให้โจทก์จัดการให้มีกระแสไฟฟ้า และน้ำประปาใช้ในตึกแถวรายพิพาท เมื่อโจทก์ปฏิบัติการดังกล่าวแล้ว จึงให้โจทก์ไปจัดการเก็บค่าเช่าและค่าภาษีโรงเรือนที่จำเลยยังไม่ได้ชำระให้ ดังนี้ ล้วนแต่เป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ทั้งเป็นฟ้องล่วงหน้าที่มีเงื่อนไขซึ่งหมายความว่า หากจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี มีสิทธิอยู่ในตึกพิพาท จึงจะมีสิทธิขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ปฏิบัติการตามฟ้องแย้งได้ เมื่อเป็นฟ้องแย้งที่จะรวมพิจารณาร่วมกับฟ้องเดิมไม่ได้ ก็ยังไม่เป็นฟ้องแย้งที่ควรจะพึงรับไว้พิจารณา