พบผลลัพธ์ทั้งหมด 385 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาตามฟ้อง: การส่งหมายที่ถูกต้อง แม้ไม่ตรงกับทะเบียนบ้าน
แม้ภูมิลำเนาของจำเลยตามที่โจทก์ระบุในฟ้องจะมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยตามที่ปรากฏในสำเนาทะเบียนบ้าน แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลนำหมายนัดไต่สวนมูลฟ้องและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดหมายตามที่อยู่ที่โจทก์ระบุในคำฟ้อง จำเลยก็แต่งทนายความให้ไปศาลแทน หลังจากนั้นจำเลยไม่เคยโต้แย้งว่าที่อยู่ตามฟ้องไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลย เพิ่งจะโต้แย้งในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาถือได้ว่าภูมิลำเนาตามฟ้องเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของจำเลย การส่งหมายที่ภูมิลำเนาตามฟ้องจึงเป็นการส่งโดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาตามฟ้องใช้ได้ แม้ไม่ตรงกับทะเบียนบ้าน หากจำเลยเคยใช้เป็นที่อยู่และไม่โต้แย้ง
แม้ภูมิลำเนาของจำเลยตามที่โจทก์ระบุในฟ้องจะมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยตามที่ปรากฎในสำเนาทะเบียนบ้านแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลนำหมายนัดไต่สวนมูลฟ้องและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดหมายตามที่อยู่ที่โจทก์ระบุในคำฟ้องจำเลยก็แต่งทนายความให้ไปศาลแทนหลังจากนั้นจำเลยไม่เคยโต้แย้งว่าที่อยู่ตามฟ้องไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลยเพิ่งจะโต้แย้งในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาถือได้ว่าภูมิลำเนาตามฟ้องเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของจำเลยการส่งหมายที่ภูมิลำเนาตามฟ้องจึงเป็นการส่งโดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1671/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจากหนี้สินล้นพ้นตัว: การพิจารณาภูมิลำเนาและหนังสือทวงถาม
แม้จำเลยที่2จะย้ายทะเบียนบ้านที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันที่ทำกับโจทก์แต่จำเลยที่2ก็ยังเป็นเจ้าของบ้านดังกล่าวอยู่และบ้านหลังนี้ยังเป็นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยที่1ซึ่งมีจำเลยที่2เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่1ตลอดมาจึงเป็นหลักแหล่งที่ทำการงานของจำเลยที่2ให้ถือว่าเป็นภูมิลำเนาแห่งหนึ่งของจำเลยที่2ด้วยและถือว่าจำเลยที่2มีถิ่นที่อยู่หลายแห่งสับเปลี่ยนกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา45((มาตรา38ใหม่) จำเลยที่2ได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่า2ครั้งมีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า30วันจำเลยที่2ไม่ชำระหนี้พฤติการณ์ของจำเลยที่2เข้าข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา8(9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10132/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาที่ใช้ในการกู้ยืมเงิน การส่งหมายเรียกชอบด้วยกฎหมายแต่จำเลยไม่ทราบการฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่ ๒ ได้ย้ายไปอยู่ ณ ที่บ้านเลขที่ ๖๕ หมู่ที่ ๘ ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ แต่ขณะที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยทั้งสองได้ระบุภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันไว้ตรงกับหลักฐานทางทะเบียนของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และหลักฐานทางทะเบียนบ้าน โดยมิได้ระบุภูมิลำเนาเลขที่๖๕ ดังกล่าวไว้ในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน ทั้งที่จำเลยที่ ๑ ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่ ๒ ได้ย้ายไปอยู่ ณ บ้านเลขที่ ๖๕ นั้นแล้ว แต่ก็มิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ ๑ ดังนี้ถือว่าจำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนา๒ แห่ง คือตามที่ได้จดทะเบียนที่ตั้งสำนักงานใหญ่และที่ได้ประกอบกิจการแท้จริงส่วนจำเลยที่ ๒ ซึ่งมีฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ด้วย ถือว่ามีภูมิลำเนาณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ระบุในทะเบียนบ้าน ถือว่าจำเลยที่ ๒ มีภูมิลำเนา ๒ แห่ง คือตามที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ ๑ และที่จำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการแท้จริง
เมื่อจำเลยทั้งสองใช้บ้านเลขที่ ๓๔/๑ หมู่ที่ ๔ ตำลคลองหนึ่งอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นภูมิลำเนาในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันจึงถือว่าจำเลยทั้งสองได้เลือกเอาบ้านเลขที่ ๓๔/๑ ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาสำหรับการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันกับโจทก์ การที่เจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่ ๓๔/๑ จึงเป็นการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดและคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าว และจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ดังนี้ แม้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
เมื่อจำเลยทั้งสองใช้บ้านเลขที่ ๓๔/๑ หมู่ที่ ๔ ตำลคลองหนึ่งอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นภูมิลำเนาในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันจึงถือว่าจำเลยทั้งสองได้เลือกเอาบ้านเลขที่ ๓๔/๑ ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาสำหรับการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันกับโจทก์ การที่เจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่ ๓๔/๑ จึงเป็นการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดและคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าว และจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ดังนี้ แม้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10132/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียก/คำฟ้องไปยังภูมิลำเนาที่ไม่ถูกต้อง และผลกระทบต่อการขาดนัดยื่นคำให้การ/พิจารณาคดี
จำเลยที่ 1 ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่2 ได้ย้ายไปอยู่ ณ ที่บ้านเลขที่ 65 หมู่ที่ 8 ตำบลเชียงรากน้อยอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2531 แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยทั้งสองได้ระบุภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันไว้ตรงกับหลักฐานทางทะเบียนของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และหลักฐานทางทะเบียนบ้าน โดยมิได้ระบุภูมิลำเนาเลขที่ 65 ดังกล่าวไว้ในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน ทั้งที่จำเลยที่ 1 ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่ 2 ได้ย้ายไปอยู่ ณ บ้านเลขที่65 นั้นแล้ว แต่ก็มิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ดังนี้ถือว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนา 2แห่ง คือตามที่ได้จดทะเบียนที่ตั้งสำนักงานใหญ่และที่ได้ประกอบกิจการแท้จริง ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งมีฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ด้วย ถือว่ามีภูมิลำเนา ณภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ระบุในทะเบียนบ้าน ถือว่าจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนา 2 แห่ง คือตามที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 และที่จำเลยที่ 1ประกอบกิจการแท้จริง เมื่อจำเลยทั้งสองใช้บ้านเลขที่ 34/1 หมู่ที่ 4ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นภูมิลำเนาในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันจึงถือว่าจำเลยทั้งสองได้เลือกเอาบ้านเลขที่ 34/1 ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาสำหรับการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันกับโจทก์การที่เจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่ 34/1 จึงเป็นการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดและคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าว และจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ดังนี้แม้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10132/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกไปยังภูมิลำเนาที่ไม่ถูกต้องและการไม่ทราบถึงการถูกฟ้องเป็นเหตุให้ไม่ถือว่าจงใจขาดนัด
จำเลยที่1ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่2ได้ย้ายไปอยู่ณที่บ้านเลขที่65หมู่ที่8ตำบลเชียงรากน้อยอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตั้งแต่ปีพ.ศ.2531แต่ขณะที่จำเลยที่1ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลยที่2ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยทั้งสองได้ระบุภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันไว้ตรงกับหลักฐานทางทะเบียนของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทและหลักฐานทางทะเบียนบ้านโดยมิได้ระบุภูมิลำเนาเลขที่65ดังกล่าวไว้ในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันทั้งที่จำเลยที่1ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่2ได้ย้ายไปอยู่ณบ้านเลขที่65นั้นแล้วแต่ก็มิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่1ดังนี้ถือว่าจำเลยที่1มีภูมิลำเนา2แห่งคือตามที่ได้จดทะเบียนที่ตั้งสำนักงานใหญ่และที่ได้ประกอบกิจการแท้จริงส่วนจำเลยที่2ซึ่งมีฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1ด้วยถือว่ามีภูมิลำเนาณภูมิลำเนาของจำเลยที่1ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ระบุในทะเบียนบ้านถือว่าจำเลยที่2มีภูมิลำเนา2แห่งคือตามที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่1และที่จำเลยที่1ประกอบกิจการแท้จริง เมื่อจำเลยทั้งสองใช้บ้านเลขที่34/1หมู่ที่4ตำบลคลองหนึ่งอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีเป็นภูมิลำเนาในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันจึงถือว่าจำเลยทั้งสองได้เลือกเอาบ้านเลขที่34/1ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาสำหรับการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันกับโจทก์การที่เจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่34/1จึงเป็นการส่งหมายเรียกสำเนาคำฟ้องหมายนัดและคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วแต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าวและจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องดังนี้แม้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและการติดตามคดีของผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ
ขณะทำสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ได้ระบุภูมิลำเนาตามฟ้องไว้ในสัญญาอันเป็นภูมิลำเนาตรงตามบัตรประชาชน และตรงตามสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องก็ได้มีการส่งตามบ้านเลขที่ดังกล่าว ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ให้การต่อสู้คดีแล้ว ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าการส่งหมายครั้งอื่นของพนักงานเดินหมายก่อนส่งคำบังคับได้นำไปส่งยังบ้านเลขที่อื่นที่เป็นสำนักงานของจำเลยที่ 1 แสดงว่าพนักงานเดินหมายทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้อยู่บ้านเลขที่ตามฟ้องนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 77 ได้บัญญัติถึงการส่งคำคู่ความหรือเอกสาร โดยเจ้าพนักงานศาลไปยังที่อื่นหรือสำนักทำการงาน การที่พนักงาน-เดินหมายไปส่งยังสำนักทำการงานของจำเลยที่ 1 ตามที่ปรากฏในท้ายสำนวนนั้นย่อมไม่ใช่แสดงว่า เจ้าพนักงานทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้อยู่ที่บ้านเลขที่ตามฟ้องแต่อย่างใด อาจเป็นเพียงแต่เจ้าพนักงานเห็นว่าสะดวกกว่าการส่งไปยังภูมิลำเนาตามฟ้องก็เป็นได้ โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ประกอบอาชีพทนายความ ย่อมทราบขั้นตอนการพิจารณาของศาลเป็นอย่างดี แต่อ้างว่าเพิ่งติดตามคดี ทั้ง ๆ ยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2535 เพิ่งติดตามตรวจสำนวนเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2536 ซึ่งห่างจากวันยื่นคำให้การถึง 7 เดือนเศษ เป็นการผิดวิสัยของผู้ประกอบอาชีพทนายความอย่างยิ่ง จึงมิใช่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและคำบังคับที่ถูกต้องตามภูมิลำเนา การมิถือว่าการส่งไปยังสำนักงานทนายความเป็นการทราบว่าจำเลยไม่ได้อยู่ที่ภูมิลำเนา
ขณะทำสัญญาเช่าซื้อจำเลยที่1ได้ระบุภูมิลำเนาตามฟ้องไว้ในสัญญาอันเป็นภูมิลำเนาตรงตามบัตรประชาชนและตรงตามสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่1การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องก็ได้มีการส่งตามบ้านเลขที่ดังกล่าวซึ่งจำเลยที่1ได้ให้การต่อสู้คดีแล้วที่จำเลยที่1อ้างว่าการส่งหมายครั้งอื่นของพนักงานเดินหมายก่อนส่งคำบังคับได้นำไปส่งยังบ้านเลขที่อื่นที่เป็นสำนักงานของจำเลยที่1แสดงว่าพนักงานเดินหมายทราบดีว่าจำเลยที่1ไม่ได้อยู่บ้านเลขที่ตามฟ้องนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา77ได้บัญญัติถึงการส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดย เจ้าพนักงานศาลไปยังที่อื่นหรือสำนักงานทำการงานการที่พนักงานเดินหมายไปส่งยังสำนักทำการงานของจำเลยที่1ตามที่ปรากฏในท้ายสำนวนนั้นย่อมไม่ใช่แสดงว่าเจ้าพนักงานทราบดีว่าจำเลยที่1ไม่ได้อยู่ที่บ้านเลขที่ตามฟ้องแต่อย่างใดอาจเป็นเพียงแต่เจ้าพนักงานเห็นว่าสะดวกกว่าการส่งไปยังภูมิลำเนาตามฟ้องก็เป็นได้โดยเฉพาะจำเลยที่1ประกอบอาชีพทนายความย่อมทราบขั้นตอนการพิจารณาของศาลเป็นอย่างดีแต่อ้างว่าเพิ่งติดตามคดีทั้งๆยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ตั้งแต่วันที่6กรกฎาคม2535เพิ่งติดตามตรวจสำนวนเมื่อวันที่16กุมภาพันธ์2536ซึ่งห่างจากวันยื่นคำให้การถึง7เดือนเศษเป็นการผิดวิสัยของผู้ประกอบอาชีพทนายความอย่างยิ่งจึงมิใช่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การ: จำเลยต้องทราบการฟ้องและมีเจตนาไม่ยื่น
คำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยอ้างว่าขณะที่มีการปิดสำเนาคำฟ้องที่ภูมิลำเนาของจำเลยนั้น จำเลยไปพักอาศัยอยู่กับบุตรที่ต่างจังหวัด การพิจารณาว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าจำเลยทราบว่าตนถูกฟ้องตามหมายเรียกให้ยื่นคำให้การแล้วไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยไม่ได้ทำการไต่สวนให้สิ้นกระแสความเสียก่อนเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8336/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: การจับกุมและภูมิลำเนาของจำเลยมีผลต่อการฟ้องคดี
ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ จำเลยถูกจับในท้องที่อำเภอสระแก้วจังหวัดปราจีนบุรี ในข้อหาพยายามฆ่าและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอมกับข้อหาอื่น ๆ ซึ่งมิใช่ข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี แต่ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 22 คำว่า จำเลยถูกจับในท้องที่หนึ่ง หมายถึงเจ้าพนักงานจับจำเลยจริง ๆในเขตศาลนั้นตามที่ถูกกล่าวหา เมื่อจำเลยถูกจับในความผิดฐานอื่นและเจ้าพนักงาน-ตำรวจได้อายัดตัวจำเลยมาสอบสวนในคดีนี้ ถือไม่ได้ว่าคดีนี้จำเลยถูกจับในเขตอำนาจศาลจังหวัดกบินทร์บุรี โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรีไม่ได้
เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีซึ่งจำเลยต้องโทษจำคุกอยู่ในคดีอื่นในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้ คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ เรือนจำจึงมิใช่ท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ เพราะคดีดังกล่าวจำเลยมิได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 47 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่ง ป.พ.พ. ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535 จึงไม่อาจถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีอีกด้วย โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรีไม่ได้
เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีซึ่งจำเลยต้องโทษจำคุกอยู่ในคดีอื่นในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้ คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ เรือนจำจึงมิใช่ท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ เพราะคดีดังกล่าวจำเลยมิได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 47 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่ง ป.พ.พ. ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535 จึงไม่อาจถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีอีกด้วย โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรีไม่ได้