พบผลลัพธ์ทั้งหมด 687 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10133/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สัญญาและการรับผิดในสัญญาจ้างเหมา โจทก์ต้องมีหลักฐานยืนยันการทำสัญญาและข้อตกลง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินโบนัสหรือเงินเพิ่มพิเศษตามสัญญาว่าจ้างที่จำเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ควบคุมงานโครงการก่อสร้างวางท่อก๊าซธรรมชาติที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้รับงานก่อสร้างมาจากก.จำเลยที่1ให้การว่าโจทก์ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยโจทก์เป็นเพียงถูกยืมชื่อให้มาเป็นคู่สัญญากับจำเลยคู่สัญญากับจำเลยที่แท้จริงและผู้ที่ทำงานให้แก่จำเลยคือซ. ไม่ใช่โจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องส่วนจำเลยที่2ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาดังนี้โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ควบคุมงานและจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระเงินโบนัสหรือเงินเพิ่มพิเศษให้โจทก์ตามสัญญาว่าจ้างดังกล่าว การที่คู่ความฝ่ายใดจะอ้างอิงเอกสารใดเป็นพยานหลักฐานในคดีคู่ความฝ่ายนั้นจะต้องนำพยานบุคคลมาสืบประกอบถึงความแท้จริงและความมีอยู่ซึ่งเอกสารนั้นๆเว้นแต่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมรับแล้วดังนั้นการที่โจทก์ฎีกาว่าเอกสารที่อ้างเป็นพยานเป็นเอกสารโต้ตอบทางโทรสารทางไกลจากต่างประเทศซึ่งทั่วโลกยอมรับฟังให้เป็นพยานหลักฐานได้โดยไม่ต้องมีพยานบุคคลมานำสืบนั้นจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาท: ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดแม้มีเงื่อนไขตกลงกับผู้ทรงเช็ค หากไม่นำสืบข้อเท็จจริงตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทจำเลยที่1ผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้การต่อสู้ว่ามีเงื่อนไขตกลงกับโจทก์ว่าโจทก์จะต้องมอบเครื่องเพชรพลอยรูปพรรณให้จำเลยที่1ไปจำหน่ายแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงจำเลยที่1จึงมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา84 แม้โจทก์จะนำเช็คพิพาทเข้าบัญชีของบุคคลใดแต่เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ย่อมเป็นบุคคลที่ถูกโต้แย้งสิทธิโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9035/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาเดิมห้ามฟ้องไล่เบี้ยซ้ำ หากศาลเดิมวินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่ได้เป็นสมาชิกและไม่ต้องรับผิดร่วม
โจทก์และจำเลยในคดีนี้กับป.เคยถูกช.ฟ้องเป็นจำเลยให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากรถยนต์แท็กซี่ของจำเลยซึ่งขับโดยป.ชนรถยนต์ของช.เสียหายคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ป. และโจทก์ร่วมกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่ช.ส่วนจำเลยศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกันแม้โจทก์กับจำเลยคดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตามก็ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีก่อนด้วยคำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคแรกข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน แม้ในแบบพิมพ์คำร้องขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของโจทก์ซึ่งจำเลยลงชื่อจะมีข้อความว่าหากจำเลยหรือบุคคลที่จำเลยมอบหมายให้ขับรถยนต์แท็กซี่คันพิพาทได้กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นทำให้โจทก์ต้องร่วมรับผิดและทางโจทก์มาทราบผลละเมิดภายหลังที่จำเลยได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกจำเลยขอรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อโจทก์ทั้งสิ้นและขอสละข้อต่อสู้ต่างๆทั้งหมดในการที่โจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายก็ตามเงื่อนไขตามเอกสารดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีละเมิดที่เกิดในระหว่างที่จำเลยเป็นสมาชิกและนำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าวิ่งร่วมกับโจทก์ตามสัญญารถร่วมด้วยเมื่อข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดและผูกพันโจทก์และจำเลยว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกันและจำเลยไม่ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์แล้วโจทก์จะมาฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8346/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินจากตัวแทน: ไม่ใช่การซื้อขาย แต่เป็นความรับผิดในฐานะตัวแทน มีอายุความ 10 ปี
คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งว่า โจทก์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นดอกเบี้ย โดยระบุอัตราดอกเบี้ย ต้นเงิน และระยะเวลาที่คิดดอกเบี้ยเป็นเวลา 4 ปี ซึ่งสามารถคิดคำนวณจำนวนดอกเบี้ยดังกล่าวได้แล้ว โจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าจำนวนดอกเบี้ยรายเดือนเป็นเงินเดือนละเท่าใดอีก และคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า โจทก์ขายเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้แก่ผู้ซื้อโดยจำเลยในฐานะกรรมการบริษัทซึ่งมีฐานะเป็นตัวแทนหรือผู้แทนของบริษัทตามบทบัญญัติของกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการแทน และจำเลยได้รับเงินมัดจำกับเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อไว้แทนโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนต้องส่งมอบเงินแก่โจทก์ จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
โจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งมอบเงินค่าขายสินค้าที่จำเลยได้รับไว้แทนให้แก่โจทก์ เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะตัวแทน มิใช่กรณีพ่อค้าฟ้องเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของซึ่งมีอายุความ 2 ปี และกรณีตัวการฟ้องเรียกเงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนรับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 810กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 164 เดิม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งมอบเงินค่าขายสินค้าที่จำเลยได้รับไว้แทนให้แก่โจทก์ เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะตัวแทน มิใช่กรณีพ่อค้าฟ้องเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของซึ่งมีอายุความ 2 ปี และกรณีตัวการฟ้องเรียกเงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนรับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 810กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 164 เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8191/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนโดยการเชิดและการรับผิดในหนี้สัญญา: ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดได้แม้ไม่มีหลักฐานการมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษร
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2534 จำเลยที่ 2ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 หรือกระทำการในฐานะส่วนตัวได้ทำหนังสือสัญญาเข้าร่วมแสดงสินค้ากับโจทก์ โดยแจ้งความประสงค์ว่าต้องการใช้พื้นที่ในการจัดแสดงสินค้าเกี่ยวกับเครื่องสัญญาณป้องกันขโมยประมาณ 9 ตารางเมตร ตกลงราคาค่าเข้าร่วมแสดง 26,000 บาท กำหนดชำระเงินภายในวันที่ 12 เมษายน 2535โจทก์ได้ดำเนินการตกแต่งอาคารแสดงสินค้าติดไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ และป้ายชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระเงินค่าเข้าร่วมแสดงสินค้าจำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 34,665 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15ต่อปี ในต้นเงิน 26,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ดังนี้ ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1หรือในฐานะส่วนตัวได้ทำสัญญาเข้าร่วมแสดงสินค้ากับโจทก์นั้นก็ไม่ขัดกันแต่อย่างใดเป็นการบรรยายตามข้อเท็จจริงซึ่งปรากฏตามหนังสือสัญญาเข้าร่วมแสดงสินค้าตามที่โจทก์ได้แนบมาท้ายคำฟ้องแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ให้การต่อสู้คดีว่า ไม่เคยทำสัญญาเข้าร่วมแสดงสินค้ากับโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญากับโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 2เป็นการกระทำส่วนตัวของจำเลยที่ 2 เอง ขอให้ยกฟ้อง แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้หลงข้อต่อสู้ ดังนั้นคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระหนี้ค่าเข้าร่วมแสดงสินค้ากับโจทก์ที่จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาไว้กับโจทก์แทนจำเลยที่ 1 ตามกฎหมายลักษณะตัวการตัวแทน เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ศาลก็ย่อมพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
การตั้งตัวแทนต้องทำหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น หาได้หมายความรวมถึงการเป็นตัวแทนโดยการเชิดบุคคลใดว่าเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยอมให้บุคคลใดแสดงตนเป็นตัวแทนตาม ป.พ.พ.มาตรา 821 ไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระหนี้ค่าเข้าร่วมแสดงสินค้ากับโจทก์ที่จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาไว้กับโจทก์แทนจำเลยที่ 1 ตามกฎหมายลักษณะตัวการตัวแทน เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ศาลก็ย่อมพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
การตั้งตัวแทนต้องทำหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น หาได้หมายความรวมถึงการเป็นตัวแทนโดยการเชิดบุคคลใดว่าเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยอมให้บุคคลใดแสดงตนเป็นตัวแทนตาม ป.พ.พ.มาตรา 821 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยประมาทเลินเล่อทำให้เจ้าของสิทธิได้รับความเสียหาย เจ้าหนี้ต้องรับผิดตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)จำเลยโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงนำยึดที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่ตนเองอ้างว่าเป็นที่ดินของ พ. ลูกหนี้จำเลยโดยไม่ได้ตรวจสอบว่าที่ดินดังกล่าวมีหนังสือสำคัญแล้วหรือไม่และเป็นที่ดินของลูกหนี้ของตนหรือไม่เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยให้การเพียงว่าขณะที่จำเลยนำยึดที่ดินพิพาทมีเพียงใบภ.บ.ท.5ไม่มีหลักฐานเอกสารสิทธิอย่างอื่นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เป็นเอกสารปลอมจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยยึดที่ดินพิพาทโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยยึดที่พิพาทโดยสุจริตหรือไม่จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา183วรรคสองอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามมาตรา142(5)ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาไปตามประเด็นที่ถูกต้องได้ โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยจดทะเบียนรับโอนด้วยการซื้อจาก พ. ได้รับความเสียหายอันเกิดจากการยึดและขายทรัพย์สินของจำเลยผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ พ. โดยมิชอบจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้เป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา284วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 790/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉล: ภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่มีส่วนรับผิดในหนี้สินของสามี
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนนิติกรรมที่ลูกหนี้ทำต่อบุคคลภายนอกได้ถ้าทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ จำเลยที่1เป็นเพียงภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของ พ.ลูกหนี้จำเลยที่1จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของ พ.เพราะไม่ใช่หนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1490จำเลยที่1ไม่ใช่ลูกหนี้ของโจทก์อันโจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามบทกฎหมายดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยที่1และที่2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7818/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ว่าจ้างต้องรับผิดร่วมกับผู้รับจ้างเมื่อผู้ควบคุมงานละเลยไม่สั่งระงับการก่อสร้างที่เสี่ยงอันตราย
ตามสัญญาจ้างระบุว่าจำเลยที่2ผู้รับจ้างจะต้องก่อสร้างตามรูปแบบและรายการที่จำเลยที่1ผู้ว่าจ้างกำหนดไว้ทุกประการและจำเลยที่1ได้แต่งตั้งให้ว.ช่างโยธาของจำเลยที่1เป็นผู้ควบคุมงานเมื่อว.เห็นว่าจำเลยที่4ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการของจำเลยที่2ใช้คนและเครื่องจักรขุดดินรางระบายน้ำเก่าโดยไม่ได้ใช้ไม้ค้ำยันและอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้ดินพังลงมาแต่ว.ก็มิได้สั่งห้ามมิให้ทำเป็นเหตุให้ดินพังลงมาทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายถือว่าจำเลยที่1ในฐานะผู้ว่าจ้างเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำด้วยจำเลยที่1จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่จำเลยที่2ผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา428เพราะว.ผู้ควบคุมงานของจำเลยที่1มีหน้าที่ควบคุมวิธีการก่อสร้างด้วยมิใช่มีหน้าที่เพียงควบคุมให้ผลของงานเป็นไปตามสัญญาเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เทศบาลต้องรับผิดต่อความเสียหายจากต้นไม้ล้มทับเนื่องจากละเลยดูแล แม้ไม่มีเหตุสุดวิสัย
ต้นสนที่ล้มทับรถยนต์ของโจทก์เสียหายและโจทก์ได้รับอันตรายสาหัส มีสภาพผุกลวงอยู่ในความครอบครองดูแลของเทศบาลเมืองสงขลาจำเลยที่ 1วันเกิดเหตุมีฝนตกเล็กน้อยและปานกลางเป็นช่วงสั้น ๆ และมีฟ้าคะนอง ความเร็วลมเพียง 5 ถึง 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นความเร็วลมปกติ การที่ต้นสนดังกล่าวล้มลงทับรถของโจทก์จึงมิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัย แต่เป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1ที่ไม่ยอมโค่นหรือค้ำจุนต้นสนดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
ค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต โดยระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เสียสมรรถภาพทางเพศ และไม่สามารถเดินได้ กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตนั้น ถือเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ทั้งสองกรณี อันเนื่องมาจากเหตุที่ต่างกัน จึงแยกจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ให้ชดใช้ตามเหตุที่แยกออกจากกันเป็นแต่ละเหตุได้
ค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต โดยระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เสียสมรรถภาพทางเพศ และไม่สามารถเดินได้ กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตนั้น ถือเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ทั้งสองกรณี อันเนื่องมาจากเหตุที่ต่างกัน จึงแยกจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ให้ชดใช้ตามเหตุที่แยกออกจากกันเป็นแต่ละเหตุได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746-750/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดของบริษัทขนส่งต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และการฟ้องคดีต่อศาลที่มีอำนาจ
แม้จำเลยที่1ต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำเรือนจำก็มิใช่ท้องที่ที่จำเลยที่1มีถิ่นที่อยู่ไม่อาจถือว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่1(ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ1เดิม)โจทก์ทั้งห้าจะฟ้องจำเลยที่1ในมูลละเมิดต่อศาลชั้นต้นที่เรือนจำตั้งอยู่มิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(2)เดิมแต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค3มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(1)โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่12)พ.ศ.2534ทำให้โจทก์ทั้งห้ามีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นดังกล่าวซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วยศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจรับฟ้องโจทก์ทั้งห้าไว้พิจารณา จำเลยที่2ต้องเสียค่าบริการให้จำเลยที่3เป็นรายวันเพื่อตอบแทนการนำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเข้าร่วมแล่นกับจำเลยที่3การเดินรถคันดังกล่าวจึงเป็นกิจการร่วมกันการที่จำเลยที่1ขับรถยนต์คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุโดยรับจ้างจำเลยที่2จึงเป็นการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่3ด้วย ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่2เช่าซื้อรถยนต์กระบะคันที่ถูกจำเลยที่1ขับชนโดยต้องรับผิดซ่อมแซมรถด้วยโจทก์ที่2ย่อมมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้แม้ต่อมาสัญญาเช่าซื้อจะเลิกกันก็ไม่เป็นเหตุให้สิทธิของโจทก์ที่2ซึ่งมีอยู่แล้วระงับสิ้นไป จำเลยที่3ฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าขาดไร้อุปการะให้โจทก์คนละ100,000บาทสูงเกินไปนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก