พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,471 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5509/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานป่าสงวนมีอำนาจสั่งรื้อถอนและดำเนินคดีอาญาได้ โจทก์ไม่มีสิทธิห้าม
การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติ อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ออกคำสั่งจังหวัด โดยอ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และสั่งให้โจทก์ทำการรื้อถอน แก้ไขหรือกระทำประการอื่นใดแก่สิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติภายใน 30 วัน แม้ต่อมาโจทก์จะฟ้องจำเลยขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือขาดประโยชน์จากที่ดินของโจทก์อีกต่อไปโดยโต้แย้งว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ครอบครองที่ดินอยู่คนละตำบลและคนละอำเภอก็ตาม แต่การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้อำเภอแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 368 ป.ที่ดินมาตรา 9, 108, 108 ทวิ ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานนั้น เป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและเป็นการใช้สิทธิในขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องหรือขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้จำเลยใช้สิทธิดังกล่าว ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยห้ามมิให้จำเลยใช้สิทธิดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ต่อไปอีกเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5509/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานออกคำสั่งรื้อถอนที่ดินบุกรุกป่าสงวน การแจ้งความดำเนินคดีอาญาไม่ใช่ละเมิดที่ศาลคุ้มครองชั่วคราวได้
การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507ออกคำสั่งจังหวัดโดยอ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและสั่งให้โจทก์ทำการรื้อถอนแก้ไขหรือกระทำประการอื่นใดแก่สิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติภายใน30วันแม้ต่อมาโจทก์จะฟ้องจำเลยขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือขาดประโยชน์จากที่ดินของโจทก์อีกต่อไปโดยโต้แย้งว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ครอบครองที่ดินอยู่คนละตำบลและคนละอำเภอก็ตามแต่การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้อำเภอแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา368ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา9,108,108ทวิฐานไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานนั้นเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและเป็นการใช้สิทธิในขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องหรือขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้จำเลยใช้สิทธิดังกล่าวดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยห้ามมิให้จำเลยใช้สิทธิดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ต่อไปอีกเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5487/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะสารวัตรกำนันไม่ใช่เจ้าพนักงาน – เพิ่มโทษ 3 เท่าจากยาเสพติดไม่ได้
สารวัตรกำนันมีหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยและรับใช้สอยกำนันตามพ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 44 เท่านั้น มิได้เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จึงไม่อาจเพิ่มโทษเป็นจำนวนสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5487/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะสารวัตรกำนันไม่เป็นเจ้าพนักงาน จึงไม่อาจเพิ่มโทษตามกฎหมายยาเสพติดได้
สารวัตรกำนันมีหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยและรับใช้สอบกำนันตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พ.ศ.2457มาตรา44เท่านั้นมิได้เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายจึงไม่อาจเพิ่มโทษเป็นจำนวนสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามมาตรา10แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ.2534ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบยึดเช็คชำระค่าที่ดินโดยไม่มีอำนาจ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ขาย
จำเลยรับราชการตำแหน่งปฏิรูปที่ดินจังหวัด มีหน้าที่ในการจัดซื้อที่ดินและจัดการจ่ายเงินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดให้แก่ผู้ขายสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดดำเนินการจัดซื้อที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินแปลงที่ 4และแปลงที่ 5 จาก ร. สำหรับแปลงที่ 5 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้ดำเนินการจัดซื้อและชำระราคาที่ดินให้แก่ ร.ผู้ขายเรียบร้อยแล้ว ส่วนแปลงที่ 4นั้น ในวันที่ 14 มิถุนายน 2527 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้ดำเนินการจัดซื้อและชำระราคาที่ดินให้แก่ผู้ขายโดยปราศจากเงื่อนไขและแยกชำระราคาเป็นพันธบัตรรัฐบาลและเงินสด ในส่วนที่จ่ายเป็นเงินสดนั้นได้แยกจ่ายเป็นเช็คผู้ถือจากบัญชีของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด รวม 3 ฉบับ จำเลยได้มอบเช็คให้แก่ ส.เพียง 2 ฉบับ จำเลยจะอ้างเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งอาจเป็นปัญหาขึ้นมาเพื่อยึดถือเอาเช็คฉบับที่ 3 จำนวนเงิน 280,000 บาท ไว้เป็นประกันค่าเสียหายค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการซื้อขายที่ดินแปลงที่ 5 โดยไม่มีกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการใด ๆ ให้อำนาจที่จะกระทำเช่นนั้นหาได้ไม่ หากจะมีปัญหาขึ้นมาในอนาคตว่าที่ดินแปลงที่ 5 มีการรุกล้ำป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่เพียงใด ก็เป็นปัญหาที่จะไปแก้ไขกันในเรื่องที่ดินแปลงที่ 5 นั้น จำเลยไม่มีอำนาจหรือหน้าที่เข้าไปแก้ไขปัญหาล่วงหน้าเช่นนั้นด้วยการยึดเช็คที่ชำระราคาค่าที่ดินแปลงที่ 4 ให้แก่ ร.ผู้ขายมาเข้าบัญชีธนาคารในนามของตนได้ ทั้งเมื่อปรากฏว่าไม่มีปัญหาใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินแปลงที่ 5 การที่จำเลยยึดเช็คไว้เช่นนี้จึงไม่ชอบและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ร.ที่ไม่สามารถได้รับชำระราคาค่าที่ดินจำนวน 280,000 บาท ตามวันสั่งจ่ายในเช็คได้ นอกจากนี้หลังจากจำเลยนำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝากของตนแล้วจำเลยได้เบิกถอนเงินจากบัญชีนั้นเป็นระยะ ๆ ไป อันแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าที่จำเลยเบิกถอนมาเพื่อประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น แม้ต่อมาจำเลยจะได้คืนเงินให้แก่ ร.และตัวแทนเรียบร้อยแล้ว และ ร.หรือ ส.ผู้รับมอบอำนาจ มิได้โต้แย้งหรือร้องเรียนว่าไม่เต็มใจหรือถูกจำเลยเพทุบายให้ยึดเช็คดังกล่าวก็ตาม การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ร.และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 157
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้มูลนิธิที่ยังไม่ได้จดทะเบียน: นิติกรรมเป็นโมฆะ, เจ้าพนักงานเพิกถอนได้
มูลนิธิที่จะเป็นนิติบุคคลได้ต้องเป็นมูลนิธิที่ได้รับจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว เมื่อขณะรับการให้มูลนิธิผู้รับโอนยังไม่เป็นนิติบุคคล ย่อมถือว่าเป็นการให้ที่ผู้โอนให้สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมทำให้นิติกรรมการให้เป็นโมฆะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้ได้รับเรื่องราวตาม ป.ที่ดิน มาตรา61 ย่อมเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการให้ได้ หาจำต้องให้ผู้โอนให้ไปฟ้องร้องเพื่อเพิกถอนการให้ตาม ป.พ.พ.ว่าด้วยการเพิกถอนการให้ก่อนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4254/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไล่ติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัย การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน การพิสูจน์ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานและวัตถุพยาน
คำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ว่าตนเป็นฝ่ายเข้าไปแตะที่ข้อศอกจำเลยที่1ในขณะที่จำเลยที่1ขับรถจักรยานยนต์มาจอดที่ลานจอดรถและจากคำเบิกความของส. พยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่เบิกความรับว่าได้ยินเสียงจำเลยที่1พูดขึ้นว่า"มึงจะกระตุกสร้อยกูหรือ"หลังจากนั้นโจทก์ร่วมก็วิ่งหนีจำเลยที่1วิ่งไล่ตามกรณีจึงเป็นการเจือสมพยานหลักฐานจำเลยทั้งสามที่นำสืบได้ว่าโจทก์ร่วมมีพฤติการณ์ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจแก่จำเลยที่1ว่าโจทก์ร่วมเป็นคนร้ายที่จะประทุษร้ายจำเลยที่1จริงเมื่อจำเลยที่1วิ่งไล่โจทก์ร่วมไม่ทันก็ไปแจ้งเหตุต่อจำเลยที่2และที่3ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบอยู่บริเวณใกล้เคียงเสริมให้เห็นชัดถึงความเข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์ร่วมเป็นคนร้ายที่จำเลยที่2และที่3พบตัวโจทก์ร่วมภายหลังและทำการค้นตัวตลอดจนรอให้จำเลยที่1มาชี้ตัวโจทก์ร่วมแล้วจึงจับโจทก์ร่วมไว้นั้นจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบปราศจากข้อระแวงสงสัยใดๆส่วนการนำตัวโจทก์ร่วมออกนอกเส้นทางที่จะไปสถานีตำรวจนั้นก็มีเหตุผลที่ต้องการจะติดตามขยายผลเพื่อจับพวกของโจทก์ร่วมที่ต้องสงสัยว่าร่วมกับโจทก์ร่วมกระทำผิดโดยมีการรายงานผู้บังคับบัญชารับทราบตามระเบียบปฏิบัติแล้วเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นการกระทำของจำเลยที่2และที่3จึงเป็นการปฏิบัติที่ชอบแล้ว ส่วนเหตุการณ์ที่โจทก์ร่วมนำสืบว่ามีการพูดว่าจะพาโจทก์ร่วมไปยิงทิ้งนั้นหากจำเลยทั้งสามมีความประสงค์เช่นนั้นจริงก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องพูดให้โจทก์ร่วมรู้ตัวโดยเฉพาะเป็นการพูดต่อหน้าส. พวกของโจทก์ร่วมที่ขออาศัยรถไปด้วยจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังเชื่อถือประกอบกับพฤติการณ์ของโจทก์ร่วมตั้งแต่เริ่มก่อเหตุถูกจำเลยที่1วิ่งไล่จับและภายหลังที่ได้รับบาดเจ็บแล้วไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่โรงแรมกลับอิดออดไม่ยอมแจ้งความจนกระทั่งเจ้าหน้าที่โรงแรมต้องเป็นผู้แจ้งเหตุเองล้วนแต่แสดงออกชัดถึงความไม่สุจริตของโจทก์ร่วมเป็นเหตุผลที่ชี้ให้เห็นว่าความจริงโจทก์ร่วมถือโอกาสที่รถยนต์ของเจ้าพนักงานตำรวจชะลอความเร็วกระโดดรถเพื่อหนีจากการควบคุมตัวของเจ้าพนักงานตำรวจมากกว่าหาได้มีการขู่จะยิงทิ้งดังที่อ้างไม่ ที่โจทก์ร่วมเบิกความถึงข้อเท็จจริงในขณะที่วิ่งหนีว่าโจทก์ร่วมกระโดดลงจากรถและล้มลงแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีไปได้ถึง4ก้าวได้ยินเสียงปืนดังขึ้น1นัดโจทก์ร่วมหันไปดูแต่ไม่ทราบว่าใครยิงเป็นข้อเท็จจริงที่ขัดต่อวิสัยคนที่กำลังพยายามจะหนีเอาชีวิตรอดเมื่อได้ยินเสียงปืนแทนที่จะรีบเร่งหนียิ่งขึ้นกลับใจเย็นพอที่จะหันไปดูแต่ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิงอีกเป็นคำเบิกความที่เชื่อไม่ได้โจทก์ร่วมยังเบิกความว่าวิ่งต่อไปอีก10ก้าวได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก1นัดกระสุนปืนถูกบริเวณเหนือข้อมือซ้ายโจทก์ร่วมล้มลงแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งหนีและได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก1นัดจึงได้กระโดดหน้าผาหลบหนีคำเบิกความของโจทก์ร่วมจำได้ละเอียดละออถึงขนาดจำนวนก้าวของการวิ่งลำดับเหตุการณ์เป็นขั้นเป็นตอนทุกระยะผิดวิสัยคนที่อยู่ในระหว่างตกใจและวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดนั้นจะสามารถจำและสาธยายเหตุการณ์ได้ละเอียดถึงปานนั้นและแม้ส. พวกของโจทก์ร่วมที่นั่งอยู่บนรถในขณะเกิดเหตุจะเบิกความว่าจำเลยที่1เป็นผู้ยิงปืนทั้งสามนัดในขณะนั่งอยู่บนรถแต่จากแผนที่แสดงสถานที่เกิดเหตุพบรอยเลือดจุดแรกอยู่ใกล้ๆกับปลอกกระสุนปืนที่ตกอยู่รวม2ปลอกอยู่ห่างและคนละฟากถนนกับเส้นทางของรถยนต์ที่อ้างว่าจำเลยที่1นั่งและยิงปืนปรากฎว่าอาวุธปืนของกลางเป็นแบบออโตเมติกเมื่อมีการยิงแล้วปลอกกระสุนน่าจะสลัดตกอยู่บริเวณใกล้ๆจุดที่ยิงดังนี้จากวัตถุพยานที่ปรากฎจึงชี้ชัดว่าที่โจทก์ร่วมและส. ยืนยันว่าจำเลยที่1ยิงปืนในขณะที่อยู่บนรถยนต์นั้นไม่ตรงต่อความเป็นจริงตรงกันข้ามเป็นการยิงในระยะใกล้ประชิดตัวมากกว่าเมื่อนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาพิเคราะห์ประกอบกับคำให้การของโจทก์ร่วมในชั้นสอบสวนที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมอยู่หลายครั้งหลายคราวส่อให้เห็นถึงความไม่ยึดมั่นต่อความจริงมุ่งจะเสริมแต่งข้อเท็จจริงเพื่อปรักปรำจำเลยทั้งสามมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบนอกจากจะเชื่อถือไม่ได้แล้วยังกลับไปเจือสมข้อต่อสู้ของจำเลยว่าจำเลยที่1ได้วิ่งไล่จับโจทก์ร่วมและมีการกอดปล้ำกันเป็นเหตุให้ปืนลั่นถูกโจทก์ร่วมมากกว่าหาใช่การยิงโดยมีเจตนาฆ่าไม่จำเลยที่1จึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมและจำเลยที่2และที่3ไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3485/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเจ้าพนักงานเบียดบังไปรษณีย์ภัณฑ์: การที่พนักงานรัฐวิสาหกิจมีหน้าที่จัดการไปรษณีย์ภัณฑ์ย่อมเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทยพ.ศ.2519มาตรา15บัญญัติให้พนักงานของการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาจำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานการสื่อสารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่บุรุษไปรษณีย์มีหน้าที่ปิดเปิดถุงไปรษณีย์ภัณฑ์และคัดเลือกไปรษณีย์ภัณฑ์เข้าด้านจ่ายได้เบียดบังเอาจดหมายต่างประเทศต้นทางเยอรมันและบราซิลเป็นของตนโดยทุจริตและตั้งใจกักหรือหน่วงเหนี่ยวไปรษณีย์ภัณฑ์ในระหว่างทางไปรษณีย์ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา147และพระราชบัญญัติไปรษณีย์พ.ศ.2477มาตรา58
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2662/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล: การคำนวณกำไรสุทธิและอำนาจการประเมินของเจ้าพนักงาน
ไม่ว่าพ. ตัวแทนของโจทก์จะมีสิทธิยื่นเสียภาษีในอัตราร้อยละ5ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆตามประมวลรัษฎากรมาตรา76ทวิวรรคสองประกอบมาตรา71(1)หรือไม่ก็ตามแต่สำหรับโจทก์ซึ่งเป็นตัวการที่ต้องรับผิดในการเสียภาษีโดยตรงนั้นต้องอยู่ในบังคับของมาตรา66และมาตรา67แห่งประมวลรัษฎากรกล่าวคือต้องเสียภาษีในกำไรสุทธิตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีเงินได้หากจะเสียภาษีในอัตราร้อยละ5ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆตามประมวลรัษฎากรมาตรา66วรรคสองประกอบมาตรา71(1)ต้องเป็นกรณีที่โจทก์ไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิได้ที่โจทก์อ้างว่าบัญชีงบดุลบัญชีกำไรขาดทุนและหลักฐานทางบัญชีต่างๆของโจทก์ได้จัดทำกันที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ในประเทศสวิซเซอร์แลนด์ ลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนโจทก์ในประเทศไทยไม่อาจทราบรายการต่างๆตามสมุดบัญชีงบดุลและงบกำไรขาดทุนของโจทก์โดยถูกต้องได้และโจทก์ยังให้บริการแก่บริษัทต่างๆในต่างประเทศอีกหลายประเทศนั้นไม่เพียงพอให้รับฟังว่าโจทก์ไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิได้ฉะนั้นการที่พ. ตัวแทนของโจทก์ยื่นรายการและเสียภาษีดังกล่าวแทนโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากรมาตรา66และมาตรา67เจ้าพนักงานประเมินชอบที่จะประเมินให้โจทก์เสียภาษีให้ถูกต้องได้ โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานประเมินคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ไม่ถูกต้องเพราะหักรายจ่ายแก่โจทก์ไม่ครบถ้วนเนื่องจากโจทก์ยังมีรายจ่ายอื่นอยู่การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการประเมินไม่ชอบเพราะการคำนวณกำไรสุทธิไม่ถูกต้องเนื่องจากโจทก์ยังมีรายจ่ายอื่นอยู่อีกแต่เจ้าพนักงานประเมินไม่ได้นำมาหักออกให้จึงเป็นข้ออุทธรณ์ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลางศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1922/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินเป็นสาธารณสมบัติ ไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้ ศาลไม่อาจบังคับเจ้าพนักงานจดทะเบียน
การอุทิศที่ดินเพื่อเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหาตกอยู่ในบังคับว่าด้วยการยกให้ไม่ แม้การยกให้โดยปริยายก็มีผลทำให้ที่ดินที่ยกให้ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ไม่จำต้องจดทะเบียนการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็สมบูรณ์ตามกฎหมาย
การจดทะเบียนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการ ศาลย่อมไม่อาจสั่งบังคับให้เจ้าพนักงานซึ่งมิใช่คู่ความดำเนินการจดทะเบียนที่ดินพิพาทนั้นให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้
การจดทะเบียนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการ ศาลย่อมไม่อาจสั่งบังคับให้เจ้าพนักงานซึ่งมิใช่คู่ความดำเนินการจดทะเบียนที่ดินพิพาทนั้นให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้