พบผลลัพธ์ทั้งหมด 368 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1048/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจปลอมและการซื้อขาย/ขายฝากที่ไร้ผลทางกฎหมาย กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของเจ้าของเดิม
โจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจ เพื่อให้จำเลยที่ 1 นำที่พิพาทไปจำนองธนาคารโดยมิได้กรอกข้อความ จำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไปทำนิติกรรมซื้อขายที่พิพาท หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม ต้องถือว่านิติกรรมการซื้อขายที่พิพาทมิได้เกิดขึ้น กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทคงเป็นของโจทก์ ไม่ตกเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิขายฝากที่พิพาท แม้จำเลยที่ 2และที่ 3 จะจดทะเบียนรับซื้อฝากที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม จำเลยที่ 2 และที่ 3ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและขายฝากที่จำเลยที่ 1 ทำไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมกระทงความผิดเบียดบังยักยอกทรัพย์และใช้เอกสารปลอม ศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อยคงโทษเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147,157,265,268 ความผิดตามมาตรา 147 และมาตรา 157 ลงโทษบทหนักตามมาตรา 147 รวม 6 กระทงจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 30 ปี และความผิดตามมาตรา 265 และมาตรา 268 ลงโทษตามมาตรา 268 จำคุกกระทงละ 1 ปีรวม 6 ปี รวมจำคุก 36 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 147,157,265,268 เป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายให้ลงโทษตามมาตรา 147 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด รวม หลายบท 6 กระทงจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 30 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเอกสารรับเงินในหน้าที่ เจ้าพนักงาน ไม่ถือเป็นเอกสารปลอม แต่เป็นเอกสารเท็จ
จำเลยมีหน้าที่รับเงินและออกใบเสร็จรับเงิน การที่จำเลยรับเงินและออกใบเสร็จรับเงินให้ ส. แล้วต่อมาได้แก้ไขสำเนาเป็นออกให้ อ. เป็นการกระทำในอำนาจหน้าที่ของจำเลย และลงลายมือชื่อตนเองเป็นผู้ทำและผู้แก้ไขเอกสารนั้น จึงเป็นเอกสารที่แท้จริงที่จำเลยทำขึ้น แม้ข้อความในต้นฉบับและสำเนาจะไม่ตรงกัน ก็เป็นแต่เพียงเอกสารเท็จ ไม่ทำให้เอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161,265
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3614/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ปลอมเป็นเหตุให้ขาดอายุความฟ้อง และจำเลยมีสิทธิโต้แย้งการเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร
กู้เงินเพียง 30,000 บาท โดยผู้กู้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความ แล้วโจทก์มากรอกข้อความเป็นว่ากู้จำนวน90,000 บาท ในภายหลังโดยผู้กู้มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย สัญญากู้จึงเป็นเอกสารปลอม โจทก์ไม่อาจใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมมาฟ้องบังคับคดี จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีไว้ว่าสัญญากู้เป็นเอกสารปลอมจึงมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสอง ส่วนการนำสืบว่ารับเงินจากโจทก์จำนวน 28,200 บาทเป็นการอ้างเหตุผลประกอบว่าสัญญากู้ที่มีข้อความว่ากู้ 90,000 บาทเป็นเอกสารปลอมไม่ใช่เรื่องนำสืบเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3597/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนจำนองด้วยเอกสารปลอม: ปัญหาข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว ไม่เข้าข่ายฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ที่จำเลยฎีกาว่า การจดทะเบียนจำนองตึกแถวตามฟ้องตามระเบียบของทางราชการไม่จำเป็นจะต้องใช้หนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของที่ดินประกอบในการขอจดทะเบียนการจะใช้หรือไม่ใช้หนังสือดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า การใช้เอกสารปลอมของจำเลยอยู่ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ ป.และโจทก์ร่วม เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า การกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268 หรือไม่ หาใช่เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงไม่ จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3597/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม เหตุโต้เถียงข้อเท็จจริงยุติแล้ว ประเด็นความเสียหายจากการใช้เอกสารปลอม
ที่จำเลยฎีกาว่า การจดทะเบียนจำนองตึกแถวตามฟ้องตามระเบียบของทางราชการไม่จำเป็นจะต้องใช้หนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของที่ดินประกอบในการขอจดทะเบียนการจะใช้หรือไม่ใช้หนังสือดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าการใช้เอกสารปลอมของจำเลยอยู่ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ ป.และโจทก์ร่วม เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า การกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268หรือไม่ หาใช่เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงไม่ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2742/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารกู้เงินปลอม สัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์ ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แม้จำเลยยอมรับการกู้จริง
โจทก์กรอกข้อความลงในหนังสือกู้และสัญญาค้ำประกันซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้กู้และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันเพียงแต่ลงลายมือชื่อให้โจทก์ไว้ผิดไปจากความจริงโดยจำเลยทั้งสองมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยหนังสือสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจึงเป็นเอกสารปลอม แม้จำเลยทั้งสองจะเบิกความยอมรับว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์ไปทั้งสิ้นจำนวน 50,000 บาท จำเลยที่ 2 ได้ค้ำประกันให้โจทก์ไว้ 5,000 บาทก็ตามโจทก์ก็มิอาจอาศัยหนังสือสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานฟ้องร้องบังคับให้จำเลยทั้งสองใช้เงินตามจำนวนที่กู้และค้ำประกันจริงได้ ถือได้ว่าการกู้เงินและค้ำประกันไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารที่ไม่ใช่เอกสารปลอม ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
คดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะความผิดข้อหาว่าร่วมกันปลอมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดินและเช็ค กับความผิดข้อหาใช้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและหนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดิน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมเช็คตามฟ้องแล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมโดยมิได้กล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ปลอมแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยมิได้ปลอมเช็คดังกล่าว และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ปลอมเช็คหรือไม่จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดี จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมเช็คตามฟ้องแล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมโดยมิได้กล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ปลอมแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยมิได้ปลอมเช็คดังกล่าว และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ปลอมเช็คหรือไม่จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดี จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เช็คที่ไม่เป็นเอกสารปลอม ไม่ถือเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองมิได้ปลอมเช็คตามฟ้องและพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาปลอมเอกสาร จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา และเมื่อโจทก์มิได้ฎีกาว่าเช็คตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเช็คนั้นไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดีมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่ง ป.วิ.อ. มาตรา 222 บัญญัติว่า ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 266.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6317/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ต้องพิสูจน์ว่าผู้ใช้รู้อยู่แล้วว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอม
จำเลยได้นำสมุดเงินฝากของธนาคารไปยื่นประกอบเรื่องราวขอวีซ่าไปประเทศสหรัฐอเมริกา ปรากฏว่า สมุดเงินฝากของธนาคารเป็นเอกสารปลอม เมื่อคดีโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำปลอมสมุดเงินฝากของธนาคาร ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยรู้ว่าสมุดเงินฝากของธนาคารเป็นเอกสารปลอม โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยใช้เอกสารปลอม ย่อมมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าสมุดเงินฝากของธนาคารปลอม ซึ่งถ้าจำเลยไม่รู้ความจริงดังกล่าวแม้จำเลยนำเอกสารไปใช้ จำเลยก็ไม่มีความผิดทางอาญา.