พบผลลัพธ์ทั้งหมด 486 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2757/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินห้ามโอนตามมาตรา 58 ทวิ จำเลยยังไม่มีสิทธิครอบครอง จึงโอนสิทธิให้โจทก์ไม่ได้
ที่ดินที่จำเลยได้รับมาตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา58ทวิซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดระยะเวลาห้ามโอนภายใน10ปีเป็นที่ดินที่รัฐยังไม่ได้มอบสิทธิครอบครองให้แก่จำเลยจำเลยคงมีสิทธิเพียงทำประโยชน์ในที่ดินเท่านั้นเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินจึงไม่อาจสละหรือโอนสิทธิครอบครองที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1377หรือมาตรา1378ให้แก่ผู้อื่นได้การที่จำเลยขายที่ดินให้แก่บิดาโจทก์จึงไม่มีผลตามกฎหมายโจทก์เป็นผู้สืบสิทธิจากบิดาจึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินและไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2529/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้าหลังสมรส: การโอนสิทธิและละเมิดสิทธิแม้ยังไม่ได้จดทะเบียน
แม้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา33ได้บัญญัติถึงการโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้าว่าจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อต้องจดทะเบียนเสียก่อนก็ตามแต่เมื่อโจทก์ได้คิดและออกแบบเครื่องหมายการค้าแล้วนำไปจดทะเบียนโดยใช้ชื่อส.สามีโจทก์เป็นผู้จดทะเบียนในระหว่างเป็นสามีภรรยากันเครื่องหมายการค้าเป็นทรัพย์สินที่ส.กับโจทก์ผู้เป็นคู่สมรสได้มาระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรสส. และโจทก์ย่อมเป็นเจ้าของสิทธิร่วมกันในเครื่องหมายการค้าแม้โจทก์จะมิได้มีชื่อเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าในทะเบียนเครื่องหมายการค้าและต่อมาได้มีการหย่าขาดและทำสัญญาแบ่งทรัพย์สินกันแต่สิทธิในเครื่องหมายการค้าของบุคคลทั้งสองก็ยังคงมีอยู่ร่วมกันจนกว่าจะได้มีการจดทะเบียนโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้าเป็นของโจทก์แต่ลำพังผู้เดียวตามข้อตกลงการที่จำเลยละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ตามมาตรา27 ตามปกติโจทก์ต้องทำการโฆษณาสินค้าของโจทก์อยู่แล้วจึงไม่อาจถือว่าค่าโฆษณาสินค้าเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำละเมิดของจำเลยโดยตรงแต่เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปการที่จำเลยนำเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไปใช้กับสินค้าของจำเลยย่อมทำให้ค่านิยมทางการค้าของโจทก์ได้รับความกระทบกระเทือนเสียหายศาลจึงกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่งตามพฤติการณ์แห่งละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เครื่องหมายการค้าที่คล้ายคลึงกันจนทำให้เกิดความสับสน และสิทธิในเครื่องหมายการค้าเมื่อมีการโอนสิทธิ
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ยุติชัดเจนเพียงพอที่จะวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีแล้วปัญหาว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายศาลย่อมอยู่ในฐานะที่จะวินิจฉัยได้ว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดหรือไม่ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวย่อมต้องพิจารณาจากรูปแบบเครื่องหมายการค้าสลากเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าและตัวสินค้าเป็นสำคัญหาจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากพยานบุคคลไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือเฉพาะกลุ่มที่ใช้สินค้าซึ่งเป็นเพียงพยานความเห็นแต่อย่างใดไม่ซึ่งในคดีนี้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำฟ้องคำให้การพยานเอกสารสลากเครื่องหมายการค้าและภาพถ่ายที่โจทก์และจำเลยอ้างส่งต่อศาลชัดเจนเพียงพอที่จะวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีได้ทั้งหมดแล้วการสืบพยานบุคคลไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยเป็นประการอื่นได้จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานบุคคลต่อไปศาลชอบที่จะมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยได้ เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นรูปวงกลม2วงวงกลมด้านนอกเป็นเส้นทึบหนาในวงกลมด้านบนมีอักษรโรมันตัวพิมพ์ใหญ่คำว่า"EKOMAG"ด้านล่างของอักษรโรมันดังกล่าวมีเส้นคลื่น2เส้นอยู่ภายในวงกลมส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นรูปวงกลม2วงซ้อนกันและวงกลมด้านนอกเป็นเส้นทึบหนาเช่นเดียวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในวงกลมด้านบนมีอักษรโรมันตัวพิมพ์ใหญ่คำว่า "F.KOMC"ด้านล่างของอักษรโรมันดังกล่าวมีเส้นคลื่น2เส้นอยู่ภายในวงกลมเช่นกันเครื่องหมายการค้าของจำเลยเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์เกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณะการวางตัวอักษรโรมันขนาดและจำนวนตัวอักษรโรมันและเส้นคลื่น2เส้นซึ่งอยู่ใต้อักษรโรมันคงมีข้อแตกต่างกันเพียงอักษรโรมันตัวแรกโจทก์ใช้อักษร "E" ส่วนจำเลยใช้อักษร "F" และตัวอักษรโรมันตัวท้ายโจทก์ใช้อักษร "G" ส่วนจำเลยใช้อักษร "C" และเส้นคลื่น2เส้นในวงกลมของโจทก์เป็นเส้นบางและค่อนข้างชิดกันส่วนของจำเลยเป็นเส้นคลื่น2เส้นหนาและห่างกันมากกว่าของโจทก์ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อยไม่ใช่สาระสำคัญยากที่สาธารณชนจะสังเกตเห็นหรือแยกแยะข้อแตกต่างดังกล่าวได้ทั้งสลากเครื่องหมายการค้าของจำเลยใช้สีเหลืองและสีขาวเหมือนกับของโจทก์รูปลักษณะและแบบของสลากก็เหมือนกับของโจทก์ก็มากโดยเฉพาะตัวอักษรโรมันตัว "F" จำเลยทำจุดหลังอักษรโรมัน "F" ให้คล้ายกับหางด้านล่างของอักษรตัว "E" ประกอบกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ก็ใช้กับสินค้าเครื่องสูบน้ำทั่วไปส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยใช้กับสินค้าเครื่องสูบน้ำสำหรับใช้ในการกสิกรรมเรือกสวนไร่นาสินค้าของโจทก์และของจำเลยจึงเป็นสินค้าที่มีลักษณะอย่างเดียวกันถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าแล้ว แม้จำเลยจะยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูป"F.KOMAC" สำหรับสินค้าจำพวกที่7ก่อนที่โจทก์จะยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารูป "EKOMAC" ก็ตามแต่โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์มาก่อนจำเลยทั้งเครื่องหมายการค้าของจำเลยยังเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าแม้โจทก์จะใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์กับเครื่องสูบน้ำทั่วไปและจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยกับเครื่องสูบน้ำสำหรับใช้ในการกสิกรรมเรือกสวนไร่นาซึ่งเป็นสินค้าต่างจำพวกกันก็ตามก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิดีกว่าจำเลยในการใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยสำหรับสินค้าจำพวกที่7
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิเรียกร้อง การบอกกล่าวและการยินยอมของคู่สัญญา
คู่สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างคือจำเลยที่ 3 กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.เมื่อโจทก์อ้างว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ได้ทำหนังสือโอนสิทธิการรับเงินค่าก่อสร้างให้โจทก์ แต่ไม่ปรากฎว่า โจทก์ได้บอกกล่าวการโอนหนี้ไปยังจำเลยที่ 3 โดยทำเป็นหนังสือหรือจำเลยที่ 3 ได้ยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ การที่ ป.และจำเลยที่ 2 ลงชื่อในหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวโดยไม่ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 3 ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ยินยอมด้วยในการโอนหนี้รายนี้ เอกสารที่โจทก์อ้างจึงใช้ยันแก่จำเลยที่ 3 ไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละการครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวน: การครอบครองแทนและการโอนสิทธิระหว่างราษฎร
แม้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติไม่อาจจดทะเบียนโอนได้แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันย่อมมีสิทธิสละการครอบครองให้แก่กันได้การที่จำเลยที่1โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วเช่าจากโจทก์ถือว่าจำเลยสละการครอบครองให้แก่โจทก์แล้วโจทก์และจำเลยที่1ได้บันทึกที่สถานีตำรวจยอมรับกันว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทให้จำเลยที่1เช่าจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ส่วนจำเลยที่2ที่3เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยจำเลยที่1แบ่งให้ครอบครองเพราะเป็นบุตรซึ่งเป็นการอาศัยสิทธิของจำเลยที่1จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6444/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายสิทธิการเช่า: หน้าที่ของคู่สัญญาและการบังคับตามสัญญา
สัญญาขายสิทธิการเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งก่อให้เกิดหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยจำเลยเป็นเจ้าหนี้ในการที่จะเรียกร้องเอาราคาค่าโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ ในขณะเดียวกันก็เป็นลูกหนี้ในการที่จะต้องแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่าโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยในการที่จะเรียกร้องให้จำเลยดำเนินการโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ และเป็นลูกหนี้ที่จะต้องชำระราคาค่ารับโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลย และข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยจึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ดำเนินการโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้
การโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทจะมีผลต่อเมื่อผู้ให้เช่ายินยอมเสียก่อนจึงจะโอนกันได้ จะถือเอาคำพิพากษาบังคับผู้ให้เช่ายอมให้โจทก์เช่าห้องพิพาทไม่ได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่ายอมโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์
การโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทจะมีผลต่อเมื่อผู้ให้เช่ายินยอมเสียก่อนจึงจะโอนกันได้ จะถือเอาคำพิพากษาบังคับผู้ให้เช่ายอมให้โจทก์เช่าห้องพิพาทไม่ได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่ายอมโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6444/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายสิทธิการเช่า: การบังคับให้โอนสิทธิการเช่าและการแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่า
สัญญาขายสิทธิการเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งก่อให้เกิดหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยจำเลยเป็นเจ้าหนี้ในการที่จะเรียกร้องเอาราคาค่าโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ ในขณะเดียวกันก็เป็นลูกหนี้ในการที่จะต้องแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่าโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยในการที่จะเรียกร้องให้จำเลยดำเนินการโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ และเป็นลูกหนี้ที่จะต้องชำระราคาค่ารับโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลย และข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยจึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมายเมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ดำเนินการโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ การโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทจะมีผลต่อเมื่อผู้ให้เช่ายินยอมเสียก่อนจึงจะโอนกันได้ จะถือเอาคำพิพากษาบังคับผู้ให้เช่ายอมให้โจทก์เช่าห้องพิพาทไม่ได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่ายอมโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4985/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว สิ้นสุดเมื่อผู้เช่าเสียชีวิต การโอนสิทธิโดยไม่สุจริตไม่ผูกพันเจ้าของกรรมสิทธิ์
แม้ บ. มีสิทธิเช่าอาคารพิพาทจากโจทก์ร่วม แต่สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อ บ. ตายสิทธิการเช่าย่อมระงับหรือสิ้นสุดลงไม่ตกทอดไปยังจำเลยซึ่งเป็นทายาท ส่วนคำพิพากษาของศาลอีกคดีหนึ่งที่วินิจฉัยว่า ฮ. ลงชื่อเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทของโจทก์ร่วมแทน บ. ในคดีระหว่าง ฮ. กับ บ. นั้นเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิการเช่าอาคาร มิใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2) จึงไม่อาจใช้ยันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี เมื่อ ฮ. ผู้เช่าเดิมได้โอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทแก่โจทก์และโจทก์ร่วมยินยอมและจัดให้โจทก์ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิใช้อาคารพิพาท จำเลยอยู่ในอาคารพิพาทโดยไม่มีสิทธิเป็นการละเมิดโต้แย้งสิทธิโจทก์และโจทก์ร่วมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4922/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์หลังการโอนสิทธิในที่ดิน: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการยึดชอบด้วยกฎหมายหากผู้รับโอนไม่ร้องขอปล่อยทรัพย์
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทตามที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าเป็นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอันเป็นการยึดทรัพย์สินโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 วรรคแรก แม้จะปรากฏว่าจำเลยได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้ อ. ไปก่อนแล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้การยึดทรัพย์เสียไป เพราะหาก อ.ผู้มีชื่อใน น.ส.3 ก. ที่ดินพิพาทอ้างว่าตนเป็นเจ้าของ อ. ก็ต้องร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 เมื่อ อ. มิได้ร้องขอให้ปล่อย ศาลจะอ้างเหตุผลใดมาเพิกถอนการยึดหาได้ไม่ เพราะการมีชื่อใน น.ส.3 ก. ดังกล่าว มิได้หมายความว่า อ. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3839/2537 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและโจทก์ร่วม: การโอนสิทธิหลังฟ้องไม่กระทบอำนาจเดิม ผู้รับโอนมีสิทธิเป็นโจทก์ร่วม
ขณะเสนอคำฟ้อง โจทก์ยังเป็นเจ้าของที่ดินและตึกแถวพิพาท จึงมีอำนาจฟ้อง แม้ภายหลังฟ้องคดีโจทก์จะโอนที่ดินและตึกแถวให้โจทก์ร่วม อำนาจฟ้องของโจทก์ที่บริบูรณ์อยู่แล้วยังคงมีผลอยู่ต่อไป
โจทก์ร่วมเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากโจทก์ เป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี มีสิทธิร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้
โจทก์ร่วมเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากโจทก์ เป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี มีสิทธิร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้