คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความรับผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,971 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2366/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับสภาพหนี้เป็นผลจากการซื้อขายหุ้นส่วนในที่ดิน ประเด็นความรับผิดตามสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับ จ. เข้าหุ้นส่วนซื้อที่ดินมาเพื่อจัดสรรขาย ต่อมา จ. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. ได้โอนที่ดินให้จำเลยที่ 2 และขอออกโฉนดที่ดินให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันให้โจทก์มีหุ้น 1 ใน 3 และคิดบัญชีแบ่งหุ้นกัน โจทก์ตกลงขายหุ้นส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้มอบให้โจทก์ โดยยอมผ่อนชำระเงินให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ชำระเงินไม่ครบ จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินที่เหลือให้โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า จ.ไม่เคยเข้าหุ้นส่วนกับโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่เคยตกลงให้โจทก์เข้าหุ้นในที่ดิน 1 ใน 3 และไม่เคยตกลงซื้อหุ้นและทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงว่า โจทก์กับ จ. เป็นหุ้นส่วนโดยชอบหรือไม่และจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์แยกประเด็นขึ้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์เพียงใดหรือไม่และฟังว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งหุ้นกัน แล้วโจทก์ขายหุ้นให้จำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้โจทก์แต่ชำระยังไม่ครบ จึงเป็นการที่วินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นในคำฟ้องและคำให้การนั่นเอง หาเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2322/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของโรงแรมต่อการสูญหายของรถยนต์ที่จอดไว้ในโรงแรม และการแจ้งเหตุทันที
คำว่า เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 หมายถึง เจ้าของกิจการโรงแรม ผู้ถือกรรมสิทธิ์เก็บผลประโยชน์รายได้จากกิจการโรงแรม หาใช่บุคคลผู้ควบคุมและจัดการโรงแรมซึ่งเป็นตัวแทนไม่ เมื่อรถยนต์หายไป โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการของโรงแรมทราบทันที ถือได้ว่าโจทก์ได้แจ้งเหตุที่รถหายแก่เจ้าสำนักโรงแรมทันที ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 676 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2322/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของเจ้าสำนักโรงแรมต่อการสูญหายของรถยนต์ของผู้พักอาศัย และการแจ้งเหตุที่ทันท่วงที
คำว่า เจ้าสำนักโรงแรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 674,675 หมายถึงเจ้าของกิจการโรงแรม ผู้ถือกรรมสิทธิ์เก็บผลประโยชน์รายได้จากกิจการโรงแรม หาใช่บุคคลผู้ควบคุมและจัดการโรงแรมซึ่งเป็นตัวแทนไม่ โจทก์เข้าพักในโรงแรมของจำเลยที่ 1 เมื่อรถยนต์ที่โจทก์นำเข้าไปจอดที่ลาดจอดรถของโรงแรมหายไป โจทก์ได้แจ้งต่อผู้จัดการโรงแรมทันที ที่ทราบเหตุการณ์ ย่อมถือได้ว่า โจทก์แจ้งเหตุที่รถยนต์หายแก่เจ้าสำนักโรงแรมทันทีแล้ว จำเลยที่ 1 จะอ้างให้ตนพ้นจากความรับผิดหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อระงับจากเหตุสุดวิสัย แม้มีข้อตกลงรับผิดชอบความเสียหายจากอัคคีภัย
เดิมจำเลยมีเจตนาที่จะกู้ยืมเงินจากโจทก์เพื่อนำมาชำระค่าซื้อรถพิพาทที่ยังขาดอยู่ แต่เมื่อโจทก์ต้องการให้โอนกรรมสิทธิ์ในรถพิพาทให้เป็นของโจทก์ก่อนแล้วให้จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทกับโจทก์ จำเลยก็ได้ยินยอมตกลงตามความประสงค์ของโจทก์ โดยได้มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลย ทั้งจำเลยก็ได้ผ่อนชำระเงินค่าเช่าซื้อมาหลายงวดย่อมถือว่าคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อกัน สัญญาเช่าซื้อจึงมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
ขณะที่จำเลยขับรถพิพาทไป ได้เกิดไฟลุกไหม้รถพิพาทเสียหายทั้งคัน สัญญาเช่าซื้อรถพิพาทย่อมระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 567 ประกอบด้วยมาตรา 572 แม้สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่า ผู้เช่าซื้อจะต้องรักษาทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและมีการซ่อมแซมที่ดี และรับผิดชอบแต่ผู้เดียวสำหรับการเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายทุกชนิดของทรัพย์สิน รวมทั้งอัคคีภัยด้วย แต่ข้อตกลงดังกล่าวย่อมหมายถึงการสูญหายหรือเสียหายซึ่งผู้เช่าซื้อต้องรับผิดเท่านั้นแต่โจทก์มิได้นำสืบว่าเป็นความผิดของจำเลยอย่างไรหรือไม่ในกรณีที่รถพิพาทถูกไฟไหม้ การที่จำเลยขับรถพิพาทไปแล้วเกิดไฟลุกไหม้อาจจะเกิดจากสภาพของรถก็ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เสี่ยงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระราคารถพิพาทให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อไม่ใช่การอำพรางการกู้ยืม และผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิดหากความเสียหายเกิดจากสภาพรถ
เดิมจำเลยมีเจตนาที่จะกู้ยืมเงินจากโจทก์เพื่อนำมาชำระค่าซื้อรถพิพาทที่ยังขาดอยู่ แต่เมื่อโจทก์ต้องการให้โอนกรรมสิทธิ์ในรถพิพาทให้เป็นของโจทก์ก่อนแล้วให้จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทกับโจทก์ จำเลยก็ได้ยินยอมตกลงตามประสงค์ของโจทก์ โดยได้มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถพิพาท ระหว่างโจทก์กับจำเลย ทั้งจำเลยก็ได้ผ่อนชำระเงินค่าเช่าซื้อมาหลายงวดย่อมถือว่าคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อกัน สัญญาเช่าซื้อจึงมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน ขณะที่จำเลยขับรถพิพาทไป ได้เกิดไฟลุกไหม้รถพิพาทเสียหายทั้งคัน สัญญาเช่าซื้อรถพิพาทย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 ประกอบด้วยมาตรา 572 แม้สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่า ผู้เช่าซื้อจะต้องรักษาทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและมีการซ่อมแซมที่ดี และรับผิดชอบแต่ผู้เดียวสำหรับการเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายทุกชนิดของทรัพย์สิน รวมทั้งอัคคีภัยด้วยแต่ข้อตกลงดังกล่าวย่อมหมายถึงการสูญหายหรือเสียหายซึ่งผู้เช่าซื้อต้องรับผิดเท่านั้นแต่โจทก์มิได้นำสืบว่าเป็นความผิดของจำเลยอย่างไรหรือไม่ในกรณีที่รถพิพาทถูกไฟไหม้ การที่จำเลยขับรถพิพาทไปแล้วเกิดไฟลุกไหม้อาจจะเกิดจากสภาพของรถก็ดี ทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยได้ เสี่ยง ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระราคารถพิพาทให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อไม่ใช่การอำพรางการกู้ยืม และจำเลยไม่ต้องรับผิดเมื่อรถเสียหายจากเหตุภายนอก
เดิมจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะกู้ยืมเงินจากโจทก์เพื่อนำมาชำระค่าซื้อรถพิพาทที่ยังขาดอยู่ แต่เมื่อโจทก์ต้องการให้โอนกรรมสิทธิ์ในรถพิพาทให้เป็นของโจทก์ก่อนแล้วให้จำเลยที่ 1ทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทกับโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ได้ยินยอมตกลงตามความประสงค์ของโจทก์ โดยได้มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ได้ผ่อนชำระเงินค่าเช่าซื้อมาหลายงวด ย่อมถือว่าคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อกัน สัญญาเช่าซื้อจึงมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินแต่อย่างใด เมื่อรถพิพาทอันเป็นทรัพย์สินที่เช่าซื้อเสียหายไปทั้งคันสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 567 ประกอบด้วย มาตรา 572 และแม้สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่าผู้เช่าซื้อจะต้องรักษาทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและมีการซ่อมแซมที่ดี และรับผิดชอบแต่ผู้เดียวสำหรับการเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายทุกชนิดของทรัพย์สินรวมทั้งอัคคีภัยด้วย แต่ข้อตกลงดังกล่าวย่อมหมายถึงเฉพาะการสูญหายหรือเสียหายซึ่งผู้เช่าซื้อต้องรับผิดเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 ขับรถพิพาทไปแล้วไฟลุกไหม้โดยไม่ปรากฏว่าเป็นความผิดของฝ่ายจำเลย จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชำระราคารถพิพาทให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2274/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมรับผลตรวจลายมือชื่อเป็นข้อตกลง และการใช้พยานหลักฐานอื่นเมื่อผลตรวจไม่ชัดเจน
ตามรายงานกระบวนพิจารณาปรากฏว่าจำเลยที่ 2 แต่ฝ่ายเดียวเป็นผู้แถลงรับและต่อสู้ตลอดจนยอมรับข้อเท็จจริงที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ได้ว่าผลเป็นอย่างไร ตนยอมรับตามนั้น โจทก์เพียงแต่แถลงไม่ค้าน ซึ่งหมายความเพียงว่าไม่ค้านการที่ศาลจะส่งเอกสารต่าง ๆไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์เท่านั้น โจทก์หาได้ยอมรับผลการตรวจพิสูจน์เป็นข้อแพ้ชนะตามที่จำเลยที่ 2 แถลงด้วยแต่อย่างใดไม่ รายงานการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญที่ระบุว่า ไม่อาจจะลงความเห็นให้เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดได้นั้น แสดงให้เห็นว่าผลการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวศาลไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดได้ จึงต้องรับฟังพยานหลักฐานอื่นต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2202/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้รับจ้างควบคุมการก่อสร้างต่อละเมิดจากลูกจ้างผู้ขับรถบรรทุก
จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับจ้างออกแบบและควบคุมการก่อสร้างอาคารบ้านพัก มีห้างหุ้นส่วนจำกัด พ.เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างแทนจำเลยที่ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ.ได้มอบให้ อ.ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างของห้างนำรถยนต์บรรทุกไปใช้ในการก่อสร้างโดยจำเลยที่ 2 และ อ.ได้ใช้รถยนต์บรรทุกนั้นร่วมกัน และในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ก็ใช้อยู่ตลอดทั้งวัน น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้ใช้รถยนต์บรรทุกนั้นในการปฏิบัติหน้าที่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกโดยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่โจทก์ขับสวนมาได้รับความเสียหาย โดยจุดชนห่างจากสถานที่ก่อสร้างประมาณ 30 เมตร และเป็นเวลาหลังจากเลิกงานประมาณ 1 ชั่วโมงถือได้ว่าอยู่ในระหว่างเวลาต่อเนื่องคาบเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2202/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างในความเสียหายจากการขับรถประมาทในทางการที่จ้าง แม้เกินเวลาทำงาน
จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับจ้างออกแบบและควบคุมการก่อสร้างอาคารบ้านพัก มีห้างหุ้นส่วนจำกัดพ.เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง จำเลยที่ 2เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างแทนจำเลยที่ 1ห้างหุ้นส่วนจำกัดพ.ได้มอบให้อ. ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างของห้างนำรถยนต์บรรทุกไปใช้ในการก่อสร้างโดยจำเลยที่ 2และ อ. ได้ใช้รถยนต์บรรทุกนั้นร่วมกัน และในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ก็ใช้อยู่ตลอดทั้งวันน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้ใช้รถยนต์บรรทุกนั้นในการปฏิบัติหน้าที่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกโดยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่โจทก์ขับสวนมาได้รับความเสียหาย โดยจุดชนห่างจากสถานที่ก่อสร้างประมาณ 30 เมตร และเป็นเวลาหลังจากเลิกงานประมาณ1 ชั่วโมง ถือได้ว่าอยู่ในระหว่างเวลาต่อเนื่องคาบเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2118/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผูกพันคำพิพากษาในคดีก่อน แม้ฝ่ายฟ้องแตกต่างกัน หากประเด็นข้อพิพาทเป็นเรื่องเดียวกัน
คดีก่อนจำเลยได้ฟ้องโจทก์ว่า โจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรมขอให้รับจำเลยกลับเข้าทำงาน หรือให้ชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเงินอื่น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประมาทเลินเล่อทำให้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยสูญหายไป ขอให้จำเลยชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยดังนี้ เมื่อเหตุที่จำเลยอ้างในคดีก่อนว่าโจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรมคือโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยจำเลยมิได้กระทำผิดซึ่งโจทก์ก็ให้การในคดีดังกล่าวว่า โจทก์มีสิทธิเลิกจ้างจำเลยเพราะจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยขาดบัญชีไป ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีก่อนกับปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นปัญหาเดียวกันว่า จำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เงินของโจทก์ในความครอบครองของจำเลยขาดบัญชีไปหรือไม่ จำเลยจึงเถียงข้อเท็จจริงให้ผิดแผกแตกต่างไปจากคดีก่อนมิได้ ต้องฟังว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เงินของโจทก์ขาดบัญชี
of 498