คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4355/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลหลังศาลเพิกถอนคำสั่งรับฎีกา ศาลมีอำนาจกำหนดเวลาใหม่ได้
เดิมศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น หากจำเลยติดใจอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาวางภายใน 10 วัน จำเลยฎีกาพร้อมทั้งยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ในชั้นฎีกาด้วยศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาและอนุญาตให้ขยายเวลาวางเงินได้ตามคำร้องต่อมาศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งเป็นไม่รับฎีกา แต่มิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ซึ่งขณะนั้นล่วงเลยกำหนดเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมตามคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้ว ดังนี้เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมใหม่ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระได้ เพราะเป็นอำนาจศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการดำเนินการพิจารณา และการกำหนดเวลาดังกล่าวมิใช่เป็นการขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 เมื่อจำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลแล้ว จึงชอบที่จะรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอขยายระยะเวลาบังคับคดีคือการขอทุเลาการบังคับ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจเด็ดขาด จำเลยฎีกาไม่ได้
การขอขยายระยะเวลาการบังคับคดี มีผลเท่ากับเป็นการขอทุเลาการบังคับคดี และการจะให้ทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์หรือไม่ เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์โดยเฉพาะจำเลยจะฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลาบังคับคดีเป็นการขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์มีอำนาจเด็ดขาด จำเลยฎีกาไม่ได้
การขอขยายระยะเวลาการบังคับคดี มีผลเท่ากับเป็นการขอทุเลาการบังคับคดี และการจะให้ทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์หรือไม่ เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์โดยเฉพาะจำเลยจะฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3901/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนคดี, งดสืบพยาน, และการรับวินิจฉัยฎีกาในประเด็นที่ยังไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้น
จำเลยขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยมาแล้ว 1 ครั้ง อ้างว่าทนายจำเลยป่วย ศาลอนุญาตโดยกำชับให้จำเลยเตรียมพยานมาสืบให้พร้อม ถ้าพยานปากใดไม่มาถือว่าไม่ติดใจสืบ ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยมอบฉันทะให้ป. มายื่นคำร้องว่าทนายจำเลยขอถอนตัวจากการเป็นทนายให้จำเลยและขอเลื่อนคดีไปเพื่อให้จำเลยหาทนายใหม่ โดยไม่ปรากฏว่า การขอถอนตัวจากการเป็นทนายได้แจ้งให้ตัวจำเลยทราบหรือหาตัวจำเลยไม่พบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ทนายถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลยจึงชอบด้วยบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65เมื่อจำเลยยังมีทนายอยู่ จึงไม่มีเหตุที่จะขอเลื่อนคดีเพื่อให้จำเลยหาทนายใหม่ ทั้งการที่ศาลชั้นต้นได้กำชับในนัดก่อนแล้วว่าหากพยานปากใดไม่มาศาล ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน เมื่อไม่มีพยานจำเลยมาศาลเลย ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งงดสืบพยานจำเลยเสียได้ ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาแลกเช็คเป็นเงินสดจากโจทก์ 200,000 บาท และจำเลยเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินในเช็คและดอกเบี้ยรวม 270,363 บาทเท่านั้น ดังนั้นปัญหาว่าจำเลยได้กู้เงินและรับเงิน 400,000 บาทไปจากโจทก์หรือไม่ จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่า จำเลยได้กู้และรับเงิน400,000 บาท จากโจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ จำเลยจะยกขึ้นฎีกาต่อมาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ค่าธรรมเนียมซึ่งผู้อุทธรณ์ต้องนำมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 หมายความรวมถึงค่าทนายความด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3754/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้เช่าบ้านและเปิดเป็นร้านให้เช่าวีดีโอ คดีโจทก์ไม่มีมูล เป็นการพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,172 และ 310 จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา193 ทวิ โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานโจทก์ชั้นไต่สวนมูลฟ้องมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของร้าน เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวความผิดในข้อหาทั้งสามนี้จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,162 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 จับกุมโจทก์เนื่องจากเชื่อคำของพยานและของโจทก์ในขณะตรวจค้นให้จับกุมตามที่ปรากฏในบันทึกการตรวจค้นจับกุมและรายงานประจำวันถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ไม่มีพฤติการณ์พิเศษให้เห็นว่ากระทำไม่ชอบประการใด และโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบว่า โจทก์ได้แจ้งต่อฝ่ายจำเลยว่าโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวเป็นการพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาว่าข้อความตามบันทึกการตรวจค้นจับกุมไม่เป็นความจริง การที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าบันทึกการตรวจค้นจับกุมดังกล่าวถูกต้อง เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นนี้ ฎีกาของโจทก์ที่อ้างมาเป็นข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนก็เพียงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างที่ว่าข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นไปตามบันทึกการตรวจค้นจับกุม เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3754/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง และการห้ามอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้เช่าบ้านและเปิดเป็นร้านให้เช่าวีดีโอ คดีโจทก์ไม่มีมูล เป็นการพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137172 และ 310 จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานโจทก์ชั้นไต่สวนมูลฟ้องมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของร้านดังกล่าวแต่อย่างใด เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว ความผิดในข้อหาทั้งสามนี้จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157162 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 จับกุมโจทก์เนื่องจากเชื่อคำ ของ พยานและของโจทก์ในขณะตรวจค้นจับกุมตามที่ปรากฏในบันทึกการตรวจค้นจับกุมและรายงานประจำวัน ถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ไม่มีพฤติการณ์พิเศษให้เห็นว่ากระทำไม่ชอบประการใด และโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบว่าโจทก์ได้แจ้งต่อฝ่ายจำเลยว่าโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวเป็นการพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงอีกเช่นกัน โจทก์ฎีกามีใจความว่าข้อความตามบันทึกการตรวจค้นจับกุมไม่เป็นความจริงการที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าบันทึกการตรวจค้นจับกุมดังกล่าวถูกต้องเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นนี้ฎีกาของโจทก์ที่อ้างมาเป็นข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนก็เพียงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างที่ว่าข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นไปตามบันทึกการตรวจค้นจับกุม เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3502/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ฎีกาขึ้นมาเท่านั้น หากไม่เกี่ยวข้อง ศาลฎีกาไม่รับฟัง
เมื่อฎีกาของจำเลยไม่มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทหรือไม่ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะขออ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อประสงค์จะให้ปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาลฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทแล้ว และกรณีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องสืบพยานต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 (2) ประกอบด้วยมาตรา 247 และมาตรา 88 วรรคสาม จำเลยจึงอ้างพยานเพิ่มเติมอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3502/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ฎีกาขึ้นมาเท่านั้น หากไม่เกี่ยวข้องศาลไม่รับพิจารณา
เมื่อฎีกาของจำเลยไม่มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทหรือไม่ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะขออ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อประสงค์จะให้ปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาลฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทแล้ว จำเลยจะอ้างพยานเพิ่มเติมอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3502/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ฎีกาขึ้นมาเท่านั้น หากไม่เกี่ยวข้อง ศาลฎีกาสั่งไม่รับพยานได้
เมื่อฎีกาของจำเลยไม่มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทหรือไม่ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะขออ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อประสงค์จะให้ปรากฏข้อเท็จจริง ต่อศาลฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทแล้ว และกรณีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องสืบพยานต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(2)ประกอบด้วยมาตรา 247 และมาตรา 88 วรรคสาม จำเลยจึงอ้างพยานเพิ่มเติมอีกไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3380/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยโดยศาลอุทธรณ์ ทำให้จำเลยไม่สามารถฎีกาในข้อเท็จจริงได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยผู้บุกรุกให้รื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินบางส่วนของโจทก์ที่ 1 ซึ่งให้โจทก์ที่ 2 เช่าและร่วมกันเรียกค่าเสียหาย 10,000 บาท กับอีกเดือนละ 1,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองชนะคดีเต็มตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเพียงเดือนละ 500 บาท คงให้โจทก์ที่ 1 ชนะคดี จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
of 303