พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเรื่องการริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลย 1,000 บาท กับให้ริบของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่ริบของกลาง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งปืนและการลักทรัพย์หลังเกิดเหตุชิงทรัพย์: ศาลฎีกาแก้เป็นลักทรัพย์และมีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ไม่เคยอุทธรณ์
ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 โกรธผู้ตาย เพราะเหตุที่ผู้ตายไปตามหาจำเลยที่ 1 เพื่อจะจับกุม จำเลยทั้งสองจึงมาหาผู้ตายโดยจำเลยที่ 1 นำมีดติดตัวมาด้วย เมื่อผู้ตายจะจับกุม จำเลยที่ 1 กับผู้ตายจึงเกิดกอดปล้ำแย่งอาวุธปืนกัน จำเลยที่ 1 แย่งอาวุธปืนมาได้จึงยิงผู้ตายล้มลง จำเลยที่ 1 จึงเอาอาวุธปืนของผู้ตายหลบหนีไปด้วยเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยจำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนร่วมอยู่ด้วยจำเลยที่ 1 คงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธเท่านั้นไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ เหตุดังกล่าวเป็นเหตุลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชิงทรัพย์ vs. ลักทรัพย์หลังต่อสู้ การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาและการพิพากษา
ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 โกรธผู้ตาย เพราะเหตุที่ผู้ตายไปตามหาจำเลยที่ 1 เพื่อจะจับกุม จำเลยทั้งสองจึงมาหาผู้ตายโดยจำเลยที่ 1 นำมีดติดตัวมาด้วย เมื่อผู้ตายจะจับกุม จำเลยที่ 1กับผู้ตายจึงเกิดกอดปล้ำแย่งอาวุธปืนกัน จำเลยที่ 1 แย่งอาวุธปืนมาได้จึงยิงผู้ตายล้มลง จำเลยที่ 1 จึงเอาอาวุธปืนของผู้ตายหลบหนีไปด้วยเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยจำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนร่วมอยู่ด้วยจำเลยที่ 1 คงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธเท่านั้นไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ เหตุดังกล่าวเป็นเหตุลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 388/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสัญญาจ้างเนื่องจากเกษียณอายุและการโต้แย้งวันสิ้นสุดสัญญา ศาลฎีกาไม่อุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากสูงอายุเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2529 โจทก์อุทธรณ์ว่าคำสั่งที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนนั้นยังไม่ถือว่าโจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้าง วันที่โจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างต้องถือเอาวันที่จำเลยออกคำสั่งให้โจทก์กลับเข้าปฏิบัติงานใหม่คือวันที่ 7 สิงหาคม 2532 ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังยุติแล้วว่า โจทก์พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากสูงอายุเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม2529 อันเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพยายามฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย ศาลฎีกาพิพากษาความผิดฐานพยายามฆ่าและริบของกลาง
แม้ในตอนแรกจำเลยมีเจตนาจะทำร้ายผู้เสียหายโดยการเตะแต่เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมเตะซ้ำและจับขาจำเลยล้มลง จำเลยใช้ขวดสุราตีที่ใบหูผู้เสียหายโดยแรงจนขวดสุราแตก แล้วเอาขวดสุราที่แตกแทงบริเวณลำคอของผู้เสียหาย 1 ครั้ง เกิดบาดแผลที่ใบหูกว้างยางประมาณ 1/4 x 2 เซนติเมตร และลำคอเป็นแผลปากฉลามกว้างยาวประมาณ 4 x 4 เซนติเมตร แล้วจำเลยใช้ขวานหน้ากว้างประมาณ 3 นิ้วครึ่ง ตัวขวานยาวประมาณ 5 นิ้วครึ่ง ด้ามยาวประมาณ 28 นิ้วครึ่ง ฟันที่บริเวณไหล่ซ้ายใกล้ลำคอผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายยกมือขึ้นกันเอาไว้เมื่อมีผู้มาห้ามปราม จำเลยก็พูดว่าจะซ้ำให้ตาย พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ชัดว่าจำเลยเจตนาจะกระทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย ศาลฎีกาพิพากษาความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้ขวดแตกซึ่งมีลักษณะเป็นปากฉลามแทงผู้เสียหายโดย แรงที่ลำคออันเป็นอวัยวะสำคัญ เป็นผลให้ที่ลำคอซีกซ้ายของผู้เสียหายเป็นบาดแผลปากฉลาม กว้าง ยาวประมาณ 4x4 เซนติเมตร โลหิตพุ่ง ออกไม่ขาดสาย หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีแล้วผู้เสียหายอาจเสียโลหิตมากและเสียชีวิตได้ และจำเลยยังใช้ขวานผ่า ฟืน หน้าขวานกว้างประมาณ 3 นิ้วครึ่ง ตัวขวานยาวประมาณ 5 นิ้วครึ่งและด้ามขวานยาวประมาณ 28 นิ้วครึ่ง อันเป็นอาวุธประเภทของมี คมขนาด ใหญ่ฟันผู้เสียหายที่บริเวณไหล่ใกล้ลำคอ ซึ่งถ้าผู้เสียหายไม่ยกมือขึ้นกันเอาไว้ คมขวานก็อาจจะไปถูกลำคอผู้เสียหายได้ นอกจากนี้จำเลยยังบอกผู้ที่เข้ามาห้ามปรามว่า จำเลยจะซ้ำผู้เสียหายให้ตายพฤติการณ์ของจำเลยบ่งชี้ชัดว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 371/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามฆ่าจากอาวุธปืนปากกา ศาลฎีกาพิพากษาว่าเจตนายิงมีเจตนาฆ่า
อาวุธปืนชนิดปากกาที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหาย ลำกล้องปืนมีความยาว 6 นิ้ว หัวปากกาที่เป็นอาวุธปืนกว้างครึ่งนิ้ว มีปุ่มสำหรับง้างขึ้นลำและกดเพื่อยิง มีร่องสปริงเข็มแทงชนวนและเกลียวสำหรับหมุน เข้าออกเพื่อใส่กระสุน มีรูลำกล้องและปากลำกล้องบรรจุกระสุนปืนขนาด .22 เวลาจะยิงต้องดึงสปริงขึ้นไปค้างไว้แล้วกดปุ่มปลดสปริงให้ดีด ตัวไปดันเข็มแทงชนวน ใช้ยิงในระยะใกล้ ๆบรรจุกระสุนได้ทีละนัด ลักษณะของอาวุธปืนดังกล่าวและการใช้เหมือนอาวุธปืนพก ดังนั้น การที่จำเลยใช้อาวุธปืนนี้บรรจุกระสุนปืนขนาด .22 ยิงผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3664/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อที่มิได้ว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้มีเหตุผลสนับสนุน
ปัญหาที่คู่ความฎีกาขึ้นมานั้น หากเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3386/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งข้อเท็จจริงหลังรับสารภาพ และการริบของกลางในคดีป่าไม้ ศาลฎีกาตัดสินให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น
โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ไม้แปรรูปและเครื่องใช้ของกลางเป็นทรัพย์ที่ได้มาและมีไว้เนื่องจากการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ การที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสองซื้อไม้แปรรูปจากโรงเลื่อยจักรโดยถูกต้องตามกฎหมายและเครื่องใช้ดังกล่าวก็ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ฯ ฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการตัดไม้ทำลายป่าอันเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ จึงเป็นความผิดร้ายแรงสมควรแก่การกำราบปราบปราม การที่จำเลยมีไม้แปรรูป ปริมาตร 16.68 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 21.590 แผ่น ซึ่งเป็นไม้ที่มีจำนวนมากและสิ่งประดิษฐ์ที่ทำขึ้นโดยผิดกฎหมายไว้ในครอบครองนับได้ว่าจำเลยกระทำความผิดอันมีลักษณะร้ายแรงดังนี้ ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3365/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างโดยวิธีจับสลาก: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยาน
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวิธีจับสลากเพื่อคัดเลือกพนักงานที่ต้องพ้นหน้าที่ไป มิใช่เนื่องจากมีพนักงานมากเกินความจำเป็น แต่มีสาเหตุเนื่องจากจำเลยไม่พอใจสามีโจทก์ที่เป็นที่ปรึกษาสหภาพแรงงานปากกาไพล๊อต จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยอุทธรณ์ว่า ในการวินิจฉัยประเด็นว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น ศาลจะต้องพิจารณาตามข้อต่อสู้ของจำเลยก่อนว่ามีเหตุผลในการเลิกจ้างโจทก์อย่างไรหรือไม่ แต่ศาลแรงงานกลางกลับวินิจฉัยข้อกล่าวอ้างของโจทก์ก่อน และวินิจฉัยแต่เพียงคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานเอกสารของโจทก์เท่านั้น ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยว่า การจับสลากนั้นจำเลยใช้กลอุบายหลอกลวงโจทก์อย่างไรหรือไม่ จึงเป็นการวินิจฉัยที่ขัดต่อข้อเท็จจริง และเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ปรากฏจากคำเบิกความของพยานฝ่ายใด และปรากฏจากคำเบิกความของพยานจำเลยว่า จำเลยมีความจำเป็นต้องนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ ข้อเท็จจริงจึงสรุปได้เป็นยุติว่า จำเลยจำเป็นต้นลดจำนวนพนักงานในหน่วยงานที่โจทก์ทำงาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ด้วยวิธีจับสลากนั้น อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย