คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สัญญาซื้อขาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,003 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2173/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่านายหน้าเกิดเมื่อมีสัญญาซื้อขายที่สมบูรณ์
โจทก์จะเรียกค่านายหน้าได้ก็ต่อเมื่อจำเลยกับผู้ซื้อได้ทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จเนื่องจากผลของการที่โจทก์ชี้ช่องหรือจัดการ เมื่อสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับผู้ซื้อยังไม่ได้กระทำกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1829/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องจากการซื้อขายที่ดินที่มีภาระจำนอง: สัญญาประนีประนอมยอมความขัดแย้งกับสิทธิการไถ่ถอน
จำเลยที่ 1 จำนองที่พิพาทต่อจำเลยที่ 2 ภายในวงเงิน 400,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ แล้วคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้หนึ่งล้านบาทเศษ และต้องเอาที่พิพาทขายทอดตลาด ชำระหนี้ด้วย หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จำเลยที่ 1 ไปไถ่ถอนจำนองที่พิพาทแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 รับไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 400,000 บาท ตามสัญญาจำนอง ดังนี้ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 รับไถ่ถอนการจำนองก็โดยโจทก์ใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้แต่ปรากฏว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จำเลยที่ 1 เองก็ไม่มีสิทธิจะไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 2 ในวงเงิน 400,000 บาทแล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะต้องฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับไถ่ถอนจำนองที่พิพาทในวงเงิน 400,000 บาทได้
ศาลมีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ได้เองโดยไม่จำเป็นต้องให้คู่ความร้องขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินของผู้ป่วยจิตเวช: เพิกถอนสัญญาเนื่องจากเสียเปรียบ
ส.เป็นผู้อนุบาลว.ผู้วิกลจริตส.ทำสัญญาจะขายที่ดินของว.แก่ร. ไว้แล้ว กลับมอบฉันทะให้ ศ. โอนขายที่ดินแก่ บ. โดย บ. รู้ว่ามีสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวอยู่แล้ว เป็นการทำให้ ร. เสียเปรียบ ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่าง ว.กับบ.ให้จดทะเบียนขายแก่ร. ตามสัญญาจะซื้อขาย ถ้าโอนขายไม่ได้ ว.ผู้เดียวต้องใช้ค่าเสียหายแก่ร.ส่วนส.ศ. และ บ. ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งเกี่ยวเนื่องกับคำฟ้องเดิม: มูลหนี้จากตั๋วแลกเงินเชื่อมโยงกับสัญญาซื้อขาย, ศาลรับฟ้องแย้งได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วแลกเงิน 4 ฉบับซึ่งจำเลยเป็นผู้รับรองโดยกล่าวในฟ้องว่า มูลค่าของตั๋วแต่ละฉบับคือมูลค่าของสินค้าซึ่งจำเลยสั่งซื้อและรับไปจากโจทก์แล้ว จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่ามูลหนี้ตามตั๋วที่โจทก์ฟ้องเกิดจากสัญญาซื้อขายเหล็กเส้นที่จำเลยซื้อจากโจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงจำต้องยับยั้งการจ่ายเงินตามตั๋ว และการผิดสัญญาซึ่งเป็นมูลหนี้ของตั๋วเหล่านี้เป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย จึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายดังนี้ฟ้องแย้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งในคดีตั๋วเงิน: ความสัมพันธ์ระหว่างมูลหนี้ตามตั๋วกับสัญญาซื้อขาย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วแลกเงิน 4 ฉบับซึ่งจำเลยเป็นผู้รับรองโดยกล่าวในฟ้องว่า มูลค่าของตั๋วแต่ละฉบับคือมูลค่าของสินค้าซึ่งจำเลยสั่งซื้อและรับไปจากโจทก์แล้วจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่ามูลหนี้ตามตั๋วที่โจทก์ฟ้องเกิดจากสัญญาซื้อขายเหล็กเส้นที่จำเลยซื้อจากโจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงจำต้องยับยั้งการจ่ายเงินตามตั๋ว และการผิดสัญญาซึ่งเป็นมูลหนี้ของตั๋วเหล่านี้เป็นเหตุให้จำเลยเสียหายจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน: เหตุสุดวิสัยจากการดำเนินการออกโฉนดล่าช้า ทำให้ผู้ขายไม่ต้องรับผิดค่าเสียหาย
สัญญาจะซื้อขายที่ดินมีข้อตกลงว่า ผู้ขายมีหน้าที่ไปจัดการขอรับมรดกเจ้าของที่ดินเดิมและดำเนินการออกโฉนดจนสามารถทำสัญญาขายเสร็จเด็ดขาดให้ผู้ซื้อได้ภายใน 15 เดือนถ้าผู้ขายผิดสัญญา ผู้ขายยอมใช้ค่าเสียหายให้ผู้ซื้อ เมื่อผู้ขายได้ยื่นคำขอรับมรดกแล้วแต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถทำการรังวัดออกโฉนดให้ทันภายในกำหนดเหตุแห่งการออกโฉนดล่าช้านี้จึงไม่ใช่เป็นความผิดของฝ่ายผู้ขายเป็นพฤติการณ์ที่เกิดจากบุคคลภายนอกที่มาเป็นเหตุให้การชำระหนี้ของผู้ขายไม่ทันตามกำหนด ผู้ขายจึงมิได้ตกเป็นผู้ผิดนัดและประพฤติผิดสัญญา ผู้ซื้อไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากผู้ขาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าและผลของการไม่ติดอากรแสตมป์ต่อความสมบูรณ์ของสัญญา
ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ตราสารใดที่ไม่ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์เพียงแต่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งมิได้เท่านั้น หาได้บัญญัติว่าตราสารเช่นว่านั้นไม่สมบูรณ์อย่างใดไม่ โจทก์จำเลยตกลงท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นเดียวว่า สัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ มิได้ท้ากันว่าจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้หรือไม่ ดังนั้นที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าสัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์เพราะมิได้ปิดอากรแสตมป์ จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ถูกต้อง
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ายังไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การซื้อขายจึงไม่อาจกระทำโดยการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ ฉะนั้นการซื้อขายที่ดินที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 จึงมีผลสมบูรณ์ที่จะให้ผู้ขายส่งมอบที่ดินที่ครอบครองให้แก่ผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 แล้ว สัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 จึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าและผลของการไม่ปิดอากรแสตมป์: สัญญาซื้อขายมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ตราสารใดที่ไม่ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์เพียงแต่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งมิได้เท่านั้น หาได้บัญญัติว่าตราสารเช่นว่านั้นไม่สมบูรณ์อย่างใดไม่โจทก์จำเลยตกลงท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นเดียวว่าสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ มิได้ท้ากันว่าจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้หรือไม่ ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าสัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์เพราะมิได้ปิดอากรแสตมป์ จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ถูกต้อง
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ายังไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์การซื้อขายจึงไม่อาจกระทำโดยการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ฉะนั้น การซื้อขายที่ดินที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 จึงมีผลสมบูรณ์ที่จะให้ผู้ขายส่งมอบที่ดินที่ครอบครองให้แก่ผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 แล้วสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 จึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาซื้อขายไม้และการกลับสู่สถานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ในคดีก่อนจำเลยที่ 2 ยื่นฟ้องโจทก์ขอให้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งทำกันไว้คือให้โจทก์ชำระหนี้ค่าไม้เป็นเงิน 58,000 บาท แก่จำเลยพร้อมกับมารับโอนกรรมสิทธิ์ไม้ตามสัญญา ศาลฎีกาพิพากษาในคดีนั้นว่าสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 เป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งโจทก์จำเลยมีสิทธิ (ให้อีกฝ่าย) ปฏิบัติการชำระหนี้แต่จำเลยในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้คือไม่ส่งมอบไม้ทั้งหมดแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ภายในเวลาอันควร จนเป็นเหตุให้ไม้เสื่อมคุณภาพใช้ประโยชน์ไม่ได้การชำระหนี้จึงกลายเป็นไร้ประโยชน์แก่โจทก์ โจทก์ได้แสดงเจตนาบอกปัดไม่รับมอบไม้ทั้งหมดจากจำเลยถือว่าเป็นการได้แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อจำเลย ซึ่งจำเลยก็ได้ทราบแล้วจำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับโจทก์ให้รับไม้และให้ชำระเงินแก่จำเลยได้ พิพากษายกฟ้องจำเลยโจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าจนบัดนี้โจทก์ยังไม่ได้รับไม้จากจำเลยตามสัญญาเพราะ ไม้ผุเน่าไปหมด จำเลยจึงต้องชำระหนี้ตามสัญญาโดยชำระเป็นเงินค่าไม้แทนคิดเป็นเงิน 203,250 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ ดังนี้เมื่อโจทก์ซึ่งเคยเป็นจำเลยในคดีก่อนได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาต่อจำเลยแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 391 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่ เดิมกล่าวคือเมื่อก่อนทำสัญญาอยู่ในฐานะอย่างไรก็ให้คู่สัญญากลับไปอยู่ในฐานะอย่างนั้นประดุจว่าไม่เคยมีนิติกรรมเกิดขึ้นในระหว่างคู่กรณี เนื่องจากโจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาก่อนที่จะได้มีการชำระหนี้ต่อกัน ฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะต้องคืนต่อกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ชำระเงินค่าไม้แทนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เลิกสัญญาซื้อขายไม้: เมื่อสัญญาเป็นโมฆะ ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าไม้ได้
ในคดีก่อนจำเลยที่ 2 ยื่นฟ้องโจทก์ขอให้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งทำกันไว้คือให้โจทก์ชำระหนี้ค่าไม้เป็นเงิน 58,000 บาทแก่จำเลย พร้อมกับมารับโอนกรรมสิทธิ์ไม้ตามสัญญา ศาลฎีกาพิพากษาในคดีนั้นว่า สัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 เป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งโจทก์จำเลยมีสิทธิ (ให้อีกฝ่าย) ปฏิบัติการชำระหนี้ แต่จำเลยในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้คือไม่ส่งมอบไม้ทั้งหมดแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ภายในเวลาอันควร จนเป็นเหตุให้ไม้เสื่อมคุณภาพใช้ประโยชน์ไม่ได้การชำระหนี้จึงกลายเป็นไร้ประโยชน์แก่โจทก์ โจทก์ได้แสดงเจตนาบอกปัดไม่รับมอบไม้ทั้งหมดจากจำเลย ถือว่าเป็นการได้แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อจำเลย ซึ่งจำเลยก็ได้ทราบแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับโจทก์ให้รับไม้และให้ชำระเงินแก่จำเลยได้ พิพากษายกฟ้องจำเลย โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าจนบัดนี้โจทก์ยังไม่ได้รับไม้จากจำเลยตามสัญญาเพราะไม้ผุเน่าไปหมด จำเลยจึงต้องชำระหนี้ตามสัญญาโดยชำระเป็นเงินค่าไม้แทนคิดเป็นเงิน 203,250 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อโจทก์ซึ่งเคยเป็นจำเลยในคดีก่อนได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาต่อจำเลยแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม กล่าวคือ เมื่อก่อนทำสัญญาอยู่ในฐานะอย่างไร ก็ให้คู่สัญญากลับไปอยู่ในฐานะอย่างนั้นประดุจว่าไม่เคยมีนิติกรรมเกิดขึ้นในระหว่างคู่กรณีเนื่องจากโจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาก่อนที่จะได้มีการชำระหนี้ต่อกันฉะนั้น จึงไม่มีสิ่งใดที่จะต้องคืนต่อกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ชำระเงินค่าไม้แทนได้
of 201