พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า & อำนาจฟ้องขับไล่ - กรณีที่ดินจัดสรรเพื่อการเกษตร
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า น. สละการครอบครองและจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตน จำเลยทั้งสองได้สิทธิครอบครองแล้วนั้น ฎีกาประเด็นดังกล่าวจำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์จะตกอยู่ในบังคับตามเงื่อนไขห้ามโอนตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการเกษตร พ.ศ. 2511 ก็ตาม โจทก์คงมีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวได้ ส่วนจะได้กรรมสิทธิ์หรือไม่เพียงใดเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับโจทก์ แต่ราษฎรด้วยกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1374 ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาทอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยอำนาจฟ้องเป็นเด็ดขาด: เสียเพียง 200 บาทตามกฎหมาย
กรณีศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องและคำให้การแล้วสั่งงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์ เนื่องจากไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง โดยคำพิพากษาหรือคำสั่งฉบับเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาโดยขอให้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์ จำเลยต่อไปจึงเป็นการอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227ซึ่ง ตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท และโจทก์เสียค่าขึ้นศาล 200 บาทครบตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ศาลชั้นต้นต้องรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป โดยโจทก์ไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลในการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการแก้ไขข้อบกพร่องของเอกสารมอบอำนาจ: ศาลแก้ไขได้หากไม่กระทบสิทธิคู่ความ
โจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่า โจทก์มอบอำนาจให้ ป. และ ส.ฟ้องคดีนี้ เพียงแต่สำเนาหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องกลับระบุว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องบุคคลอื่นไม่ใช่จำเลย แต่ต่อมาในระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นได้อนุญาตตามคำร้องของโจทก์ให้โจทก์ส่งหนังสือมอบอำนาจที่ถูกต้องได้ อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 66 สั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว และโจทก์ได้แก้ไขแล้ว ฟ้องโจทก์และกระบวนพิจารณาทั้งหมดของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าที่ได้มาจากการบังคับคดี: โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
โจทก์ได้ซื้อสิทธิการเช่าตึกของจำเลยที่ได้ทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาที่ยังไม่หมดอายุการเช่าจากการขายทอดตลาดที่จำเลยถูกบังคับคดี ถือได้ว่าโจทก์ได้สิทธิการเช่าตึกตามสัญญาที่จำเลยทำต่อกรมการศาสนามาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1170/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับทรัพย์มรดก: ผู้มีสิทธิรับมรดกตามพินัยกรรม
ข้อความตามพินัยกรรม เอกสารหมาย จ.2 ระบุว่า ตั้งนางจรรยา ส.ตันสกุล ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก และระบุให้อำนาจผู้จัดการมรดกจัดแบ่งทรัพย์มรดก ส่วนที่เหลืออีก 1 ส่วน แก่ผู้อยู่ในสกุลส.ตันสกุล ตามแต่ผู้จัดการมรดกจะเห็นสมควร โจทก์จึงมิได้เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรม และจำเลยไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดก โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์มรดกได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1170/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้จัดการมรดกที่แบ่งทรัพย์ตามพินัยกรรม ไม่เป็นผู้เสียหาย
การที่ ป.เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์หนึ่งส่วนที่เหลือให้ผู้จัดการมรดกแบ่งปันให้แก่ผู้ใช้นามสกุล "ส.ตันสกุล"ตามที่เห็นสมควร ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้ง จ. เป็นผู้จัดการมรดกแล้วจ. โอนทรัพย์มรดกเป็นของตน โดยมิได้จัดการโอนทรัพย์มรดกส่วนที่เหลือดังกล่าวให้โจทก์ซึ่งใช้นามสกุล ส.ตันสกุล นั้นแสดงว่าจ.ไม่เห็นสมควรที่จะแบ่งปันทรัพย์มรดกส่วนที่เหลือดังกล่าวให้โจทก์อันเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดในพินัยกรรม จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. มิได้เป็นผู้จัดการมรดกของ ป. ไม่มีหน้าที่แบ่งปันทรัพย์มรดกของ ป. ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1170/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับยักยอกทรัพย์มรดก ขึ้นอยู่กับความเป็นผู้เสียหายตามพินัยกรรมและสถานะผู้จัดการมรดก
ข้อความตามพินัยกรรม เอกสารหมาย จ.2 ระบุว่า ตั้งนางจรรยา ส.ตันสกุล ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกและระบุให้อำนาจผู้จัดการมรดกจัดแบ่งทรัพย์มรดก ส่วนที่เหลืออีก1 ส่วน แก่ผู้อยู่ในสกุล ส.ตันสกุล ตามแต่ผู้จัดการมรดกจะเห็นสมควร โจทก์จึงมิได้เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมและจำเลยไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดก โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์มรดกได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1100/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดเครื่องหมายการค้า: การใช้เครื่องหมายการค้าที่คล้ายคลึงกันทำให้สาธารณชนสับสน และการมีอำนาจฟ้องคดี
แม้โจทก์ไม่มีตัวผู้มอบอำนาจมาเบิกความก็ตาม แต่มี ธ.ผู้รับมอบอำนาจเบิกความประกอบหนังสือมอบอำนาจและคำแปลภาษาไทยซึ่งโนตารีปับลิกแห่งมลรัฐเท็กซัสรับรองว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแห่งมลรัฐเท็กซัสจ.เป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์และลายมือชื่อผู้มอบอำนาจเป็นลายมือชื่อ จ. ประกอบกับมีหนังสือรับรองของรัฐมนตรีแห่งมลรัฐเท็กซัสรับรองโนตารีปับลิกและมีหนังสือรับรองของกงสุลไทย ณ นครลอสแองเจลีสรับรองดวงตราและลายมือชื่อรัฐมนตรี จำเลยมิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นทั้งไม่มีเหตุควรสงสัยว่าไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจอันแท้จริงข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามข้อความที่ระบุในหนังสือมอบอำนาจ เครื่องหมายการค้าของโจทก์และจำเลยมีเลข 7 อารบิคเป็นส่วนสำคัญเพราะเลข 7 มีขนาดใหญ่กว่าตัวอักษรมากสามารถเห็นได้เด่นชัด แม้เลข 7 ของจำเลยมีลายเส้นซ้อนกัน 4 ตัว ต่างกับของโจทก์ซึ่งมีลักษณะทึบเพียงตัวเดียวก็เป็นเพียงรายละเอียดไม่น่าจะเป็นที่สนใจของผู้พบเห็น ส่วนอักษรELEVEn ของโจทก์ และBIGSEVEn ของจำเลยเป็นตัวพิมพ์เหมือนกันโดยเฉพาะอักษร 4ตัวท้ายเขียนเหมือนกันและอักษรตัว n ท้ายสุดเป็นตัวพิมพ์เล็กเช่นเดียวกัน ลักษณะการวางรูปแบบเครื่องหมายการค้าเหมือนกันคืออักษรพาดกลางตัวเลข เมื่อคำนึงว่าสาธารณชนจำนวนมากมิได้มีความรู้ภาษาอังกฤษหรือตัวอักษรโรมันดีพอที่จะแยกได้ว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์และจำเลยต่างกัน และโจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้ามาก่อนจำเลยจนเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยการที่จำเลยประกอบกิจการค้าเช่นเดียวกับโจทก์และใช้เครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับของโจทก์เห็นได้ว่าจำเลยเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์อันอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดว่ากิจการค้าของจำเลยเป็นกิจการค้าของโจทก์ จึงเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตอันเป็นการลวงสาธารณชนและเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรื้อถอนอาคารผิดกฎหมาย: อำนาจฟ้อง, การก่อสร้างผิดแบบ, และอายุความที่ไม่ใช่ละเมิด
โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องว่าโจทก์มอบอำนาจของโจทก์ไว้ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 จำเลยได้รับสำเนาเอกสารดังกล่าวไปพร้อมฟ้องแล้วไม่ได้โต้แย้งคัดค้านการนำเอกสารมาสืบก่อนวันสืบพยานว่าไม่มีต้นฉบับหรือว่าต้นฉบับปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน สำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับและไม่ได้ขออนุญาตคัดค้านในภายหลัง ถือได้ว่าจำเลยยอมรับถึงการมีอยู่ของต้นฉบับและความถูกต้องแท้จริงของต้นฉบับเอกสารนั้นรวมทั้งยอมรับว่าสำเนานั้นตรงกับต้นฉบับ ศาลมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 125 ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ข้อ 72 วรรคสาม บัญญัติให้แนวอาคารที่ปลูกสร้างริมทางสาธารณะที่มีความกว้างตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไปให้ร่นแนวอาคารห่างจากแนวถนนอย่างน้อย 1 ใน 10 ของความกว้างของแนวถนนนั้น คำว่า "แนวถนน" หมายความว่ารวมความกว้างของถนนและทางเท้าเข้าด้วยกัน ความผิดฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายมิใช่ความผิดละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์จึงฟ้องขอให้รื้อถอนได้เสมอตราบที่อาคารซึ่งฝ่าฝืนกฎหมายยังคงอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1030/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการโต้แย้งสิทธิ: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหากยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิการครอบครองที่ชัดเจน
การที่จำเลยอ้างกับโจทก์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่เคยขายให้โจทก์ ขอให้โจทก์ออกไปจากที่ดินพิพาท ทั้งคำฟ้องของโจทก์ก็มิได้ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสัญญาซื้อขายเพียงแต่ขอให้ศาลพิพากษาแสดงสิทธิว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองและเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเท่านั้น ยังไม่มีการกระทำสิ่งใดอันจะถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246 แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้