พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,865 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คโดยรู้ว่าไม่มีเงิน: องค์ประกอบความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาทุจริต
การจะเป็นความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คมิใช่ว่าเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วก็เกิดเป็นความผิดเสมอไป กรณีจะต้องประกอบด้วยว่าเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเช่นนั้น จำเลยได้ออกโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คในวันที่สั่งให้ธนาคารจ่ายเงิน เจตนาดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด เมื่อโจทก์นำสืบแต่เพียงว่าเช็คนั้นถูกนำไปขึ้นเงินภายหลังจากวันที่ที่ จำเลยสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงจะฟังว่าในวันที่ที่สั่งธนาคารจ่ายเงินจำเลยไม่มี เงินในบัญชีและมีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นยังไม่แน่นอน จำเลยยังไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2932/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อต่อสู้เรื่องการซื้อขายไม่มีผลบังคับทำให้เช็คขาดอายุความ ผู้ทรงเช็คต้องพิสูจน์มูลหนี้
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค ในฐานะที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยให้การว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ ป. เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับที่ดิน ป. เอาเช็คดังกล่าวไปชำระให้โจทก์เป็นค่าซื้อหิน 2 ก้อน ที่โจทก์อ้างว่าเป็นเหล็กไหลโดยมีเงื่อนไขว่า ป. ขอนำหินดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ก่อนว่าใช่เหล็กไหลหรือไม่ ถ้าใช่จึงจะรับซื้อ ถ้าไม่ใช่จะเอามาคืนและรับเช็คคืน ผลการพิสูจน์ปรากฏว่าไม่ใช่เหล็กไหล สัญญาซื้อขายไม่เกิดขึ้น โจทก์ต้องคืนเช็คให้ป. จึงไม่มีอำนาจฟ้องดังนี้ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าสิทธิของโจทก์ที่ได้เช็คพิพาทมาไว้ในความครอบครอง อันเนื่องมาจากการซื้อขายดังกล่าวนั้นไม่สมบูรณ์ซึ่งทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามเช็คที่ฟ้องในฐานะผู้ทรง เพราะไม่มีมูลหนี้นั่นเอง อันเป็นการยกข้อต่อสู้ที่มีต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงคนปัจจุบัน มิใช่ข้อต่อสู้ที่จำเลยมีต่อผู้ทรงคนก่อนๆ จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 คดีย่อมมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับการซื้อขายเหล็กไหล ว่า วัตถุ 2 ก้อนที่โจทก์ขายนั้นเป็นเหล็กไหลหรือไม่ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าไม่ใช่เหล็กไหล สัญญาซื้อขายเหล็กไหลก็ไม่มีต่อกัน จึงไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะเรียกร้องเงินตามเช็คจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2864-2865/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามเช็คที่แก้ไข & ตั๋วสัญญาใช้เงิน การหักส่วนลดค่าธรรมเนียม
เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ตามเช็ค ปรากฏว่าเช็คดังกล่าวมีการแก้ไขจำนวนเงินจาก 10,000 บาทเป็น 110,000 บาท โดยฟังไม่ได้ว่าลูกหนี้เป็นผู้แก้ไข แต่ลูกหนี้ยอมรับว่าตนเป็นหนี้ค่าผ้าเจ้าหนี้อยู่ 10,000 บาท และได้ออกเช็คฉบับดังกล่าวให้เจ้าหนี้ไว้จริง ดังนี้ แม้เช็คฉบับดังกล่าวจะเสียไปเพราะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญก็ตาม แต่เมื่อฟังได้ว่าลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่อีก 10,000 บาทเช่นนี้ เจ้าหนี้ก็ย่อมมีสิทธิ์ได้รับชำระหนี้ในเงินจำนวนดังกล่าว
การที่ลูกหนี้ได้ยืมเงินและออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้เจ้าหนี้ไว้จำนวนหนึ่ง โดยสัญญาจะจ่ายเป็นงวด ๆ ทุกเดือน ถ้าผิดนัดงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด และจะยอมชำระดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน แต่ลูกหนี้ได้รับเงินไปไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่ลงไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงิน เพราะเจ้าหนี้ได้หักเป็นค่าธรรมเนียมส่วนลดเสียก่อนร้อยละ 13 นั้น เป็นผลประโยชน์ที่ลูกหนี้ยินยอมมอบให้แก่เจ้าหนี้เพื่อตอบแทนในการที่เจ้าหนี้ยอมให้กู้หาใช่เป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราไว้ก่อนไม่ และการหักเงินผลประโยชน์จำนวนมีไว้ก่อนหรือมอบเงินเต็มจำนวนที่กู้ยืมให้ แล้วลูกหนี้จึงมอบกลับคืนเป็นค่าผลประโยชน์ตอบแทนในภายหลัง ผลก็เป็นอย่างเดียวกัน
การที่ลูกหนี้ได้ยืมเงินและออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้เจ้าหนี้ไว้จำนวนหนึ่ง โดยสัญญาจะจ่ายเป็นงวด ๆ ทุกเดือน ถ้าผิดนัดงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด และจะยอมชำระดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน แต่ลูกหนี้ได้รับเงินไปไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่ลงไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงิน เพราะเจ้าหนี้ได้หักเป็นค่าธรรมเนียมส่วนลดเสียก่อนร้อยละ 13 นั้น เป็นผลประโยชน์ที่ลูกหนี้ยินยอมมอบให้แก่เจ้าหนี้เพื่อตอบแทนในการที่เจ้าหนี้ยอมให้กู้หาใช่เป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราไว้ก่อนไม่ และการหักเงินผลประโยชน์จำนวนมีไว้ก่อนหรือมอบเงินเต็มจำนวนที่กู้ยืมให้ แล้วลูกหนี้จึงมอบกลับคืนเป็นค่าผลประโยชน์ตอบแทนในภายหลัง ผลก็เป็นอย่างเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2862/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดตามเช็ค: ผู้สั่งจ่าย, ผู้สลักหลัง, และผู้ขายลดเช็คต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คเมื่อเช็คไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้
การที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คโดยเจตนาจะให้ผูกพันและชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ 1 มีมูลหนี้ต่อโจทก์ เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายกับจำเลยที่ 3 ผู้สลักหลังจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้น ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งทำสัญญาขายลดเช็คให้โจทก์ ก็ได้ให้คำรับรองต่อโจทก์ว่าเมื่อเช็คถึงกำหนดขึ้นเงินไม่ได้ด้วยประการใด ๆ จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2862/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดตามเช็ค: ผู้สั่งจ่าย, ผู้สลักหลัง, และผู้ขายลดเช็ค
การที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คโดยเจตนาจะให้ผูกพันและชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ 1 มีมูลหนี้ต่อโจทก์ เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยที่1 ผู้สั่งจ่ายกับจำเลยที่ 3 ผู้สลักหลังจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้น ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งทำสัญญาขายลดเช็คให้โจทก์ ก็ได้ให้คำรับรองต่อโจทก์ว่า เมื่อเช็คถึงกำหนดขึ้นเงินไม่ได้ด้วยประการใดๆ จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดในเช็คของหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด และอำนาจกรรมการลงลายมือชื่อ
จำเลยมิได้อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ด้วยมูลหนี้อะไร และโจทก์ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ดังที่จำเลยให้การตัดฟ้อง จำเลยกลับอุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์มิได้นำสืบถึงการเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายหรือนำสืบถึงมูลหนี้เช็คตามฟ้อง จึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ไม่ใช่ปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่บริษัทโจทก์จดทะเบียนว่า กรรมการสองนายมีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัท หมายความว่า กรรมการ 2 คน ไม่ว่าชายหรือหญิงร่วมกันลงชื่อแทนบริษัทโจทก์ได้
จำเลยออกเช็คชำระหนี้ให้โจทก์แทนห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด จำเลยจึงต้องรับผิดตามเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077 (2), 900
การที่บริษัทโจทก์จดทะเบียนว่า กรรมการสองนายมีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัท หมายความว่า กรรมการ 2 คน ไม่ว่าชายหรือหญิงร่วมกันลงชื่อแทนบริษัทโจทก์ได้
จำเลยออกเช็คชำระหนี้ให้โจทก์แทนห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด จำเลยจึงต้องรับผิดตามเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077 (2), 900
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2499/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความเช็ค: การยินยอมโดยปริยายและการลงวันที่โดยสุจริต
จำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ก่อนฟ้องคดี 3 ปี แต่ตามฟ้องและคำให้การไม่มีข้อเท็จจริงว่าเหตุใดจำเลยผู้ออกเช็คจึงไม่ลงวันที่ขณะออกเช็คฉะนั้นจึงถือเป็นปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่ในเช็คเอาเองภายหลังเมื่อเบิกเงิน และตามข้อตกลงที่รับกันในชั้นพิจารณาย่อมถือได้ว่าโจทก์ ได้ลงวันที่ โดยสุจริต ดังนั้นอายุความต้องนับตั้งแต่วันที่ระบุในเช็ค ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2341/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หักกลบลบหนี้ระหว่างโจทก์จำเลย: เช็คค่ายางรถยนต์คืนสินค้า
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามจำนวนในเช็ค ซึ่งจำเลยออกชำระหนี้ค่ายางรถยนต์ที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยได้ซื้อยางรถยนต์และออกเช็คจริง แต่จำเลยคืนยางรถยนต์ให้โจทก์ 18 เส้น โจทก์ออกเครดิตโน้ตให้ไว้แล้วไม่คิดหักให้ โจทก์จึงไม่อาจจะฟ้องเรียกเอาเงินตามเช็คได้ ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังข้อต่อสู้ของจำเลย โจทก์และจำเลยที่ 1 จึงต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกัน โดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวถึงกำหนดชำระจึงชอบที่จะหักกลบลบหนี้กันได้ และศาลชอบที่จะวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ได้โดยจำเลยไม่ต้องฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1,2 รับผิด ยกฟ้องจำเลยที่ 3 โจทก์อุทธรณ์ฎีกาขอให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามข้ออ้างในฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1,2 รับผิด ยกฟ้องจำเลยที่ 3 โจทก์อุทธรณ์ฎีกาขอให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามข้ออ้างในฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งกันเองของจำเลยทำให้ศาลไม่รับฟัง และโจทก์มีสิทธิเรียกเงินตามเช็คในฐานะผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค จำเลยให้การรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คฉบับพิพาท แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินเพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุผลคือ (ก) โจทก์กับผู้มีชื่อ (ผู้ที่โจทก์อ้างว่าโอนเช็คพิพาทให้โจทก์) ร่วมกันเป็นผู้ขายสินค้าให้จำเลย แต่สินค้าเสื่อมคุณภาพจำเลยไม่ต้องชำระราคา และโดยที่จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระค่าสินค้ารายนี้ จำเลยจึงชอบที่จะสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายได้ (ข) หากคดีฟังไม่ได้ตามข้อ (ก) จำเลยก็ขอต่อสู้ว่า โจทก์กับผู้มีชื่อดังกล่าวได้คบคิดกันโอนเช็คพิพาทให้โจทก์ เพื่อให้มาฟ้องบังคับเอากับจำเลยอันเป็นการฉ้อฉลจำเลย ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยในข้อ (ก) นั้น แม้โจทก์จะมิใช่ผู้รับเช็คไว้จากจำเลย แต่การที่ผู้มีชื่อรับเช็คไว้ก็ถือว่ารับในฐานะร่วมหรือแทนโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์อยู่ในฐานะผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกับผู้มีชื่อเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางที่โจทก์จะเป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทในลักษณะฉ้อฉลจำเลยตามข้อ (ข) ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองและไม่ชอบด้วยเหตุผล ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 จึงไม่ชอบที่จะนำสืบตามคำให้การของจำเลยได้ เพราะถ้าจะสืบพยานตามคำให้การของจำเลยทั้งสองอย่าง จำเลยก็จะต้องสืบขัดแย้งกันเอง ทำให้รับฟังเป็นความจริงไม่ได้อยู่ในตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งกันเองและหลักการผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายในคดีเช็ค
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค จำเลยให้การรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คฉบับพิพาท แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงิน เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุผลคือ (ก) โจทก์กับผู้มีชื่อ (ผู้ที่โจทก์อ้างว่าโอนเช็คพิพาทให้โจทก์) ร่วมกันเป็นผู้ขายสินค้าให้จำเลย แต่สินค้าเสื่อมคุณภาพจำเลยไม่ต้องชำระราคา และโดยที่จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระค่าสินค้ารายนี้ จำเลยจึงชอบที่จะสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายได้ (ข)หากคดีฟังไม่ได้ตามข้อ(ก) จำเลยก็ขอต่อสู้ว่า โจทก์กับผู้มีชื่อดังกล่าวได้คบคิดกันโอนเช็คพิพาทให้โจทก์ เพื่อให้มาฟ้องบังคับเอากับจำเลยอันเป็นการฉ้อฉลจำเลย ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยในข้อ (ก) นั้น แม้โจทก์จะมิใช่ผู้รับเช็คไว้จากจำเลย แต่การที่ผู้มีชื่อรับเช็คไว้ก็ถือว่ารับในฐานะร่วมหรือแทนโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์อยู่ในฐานะผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกับผู้มีชื่อเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางที่โจทก์จะเป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทในลักษณะฉ้อฉลจำเลยตามข้อ (ข) ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองและไม่ชอบด้วยเหตุผลไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 จึงไม่ชอบที่จะนำสืบตามคำให้การของจำเลยได้เพราะถ้าจะสืบพยานตามคำให้การของจำเลยทั้งสองอย่าง จำเลยก็จะต้องสืบขัดแย้งกันเอง ทำให้รับฟังเป็นความจริงไม่ได้อยู่ในตัว