พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดเจน ต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จำเลยต้องระบุข้อผิดพลาดของศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยมิได้ระบุให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนในข้อใดแม้ต่อมาจำเลยจะยื่นคำแถลงการณ์ต่อศาลฎีกาก็ตาม คำแถลงการณ์ก็มิได้เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองประกอบมาตรา 225.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง การโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คลาดเคลื่อน
ฎีกาของจำเลยที่กล่าวแต่ เพียงว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดย มิได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนในข้อใด เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 คำแถลงการณ์ประกอบฎีกาที่จำเลยยื่นต่อ ศาลฎีกา มิใช่ส่วนหนึ่งของฎีกา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1497/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยฎีกา: ประเด็นใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดฐาน ร่วมกันผลิตเฮโรอีนและมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน จำเลยมิได้อุทธรณ์ว่าตน มิได้แบ่งบรรจุเฮโรอีนการที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าพยานโจทก์ไม่มีโอกาสมองเห็นการกระทำของจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1แบ่งบรรจุเฮโรอีนและจำหน่ายเฮโรอีน จำเลยที่ 1 คงมีความผิดเพียงมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อเสพสถานเดียว จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์และเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1290/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาฎีกา: เหตุล่าช้าจากการเปลี่ยนทนายความไม่ถือเป็นเหตุพิเศษ
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2530ต่อมาวันที่ 17 มีนาคม 2530 จำเลยได้มอบฉันทะให้ อ. มายื่นคำร้องขอคัดสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้จำเลยจะเปลี่ยนทนายใหม่และอยู่ในกรุงเทพมหานครก็สามารถยื่นฎีกาได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เหตุล่าช้าของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นเพราะมีพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะพึงขยายเวลายื่นฎีกาให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1290/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลายื่นฎีกา: เหตุพิเศษที่ศาลพิจารณา
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2530ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2530 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 30 วัน อ้างว่าจำเลยเพิ่งตามตัวทนายความที่ต้องการพบและทนายความคนใหม่ไม่สามารถยื่นฎีกาได้ทัน แม้จำเลยจะเปลี่ยนทนายความใหม่และอยู่ในกรุงเทพมหานครก็สามารถยื่นฎีกาได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เหตุล่าช้าของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นเพราะมีพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะพึงขยายเวลายื่นฎีกาให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1167/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิฎีกาในคดีปรับและข้อพิรุธพยานหลักฐาน ทำให้ศาลฎีกายกฟ้องคดีต้มสุรา
เมื่อความผิดฐานมีสุรากลั่นไว้ในครอบครอง ฐานมีสุราแช่ไว้ในครอบครองและฐานทำสุราแช่โดยไม่ได้รับอนุญาตต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ประกอบกับพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับในศาลจังหวัดพ.ศ. 2520 มาตรา 3 แม้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิฎีกาในข้อหาดังกล่าว แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิฎีกาในข้อหาดังกล่าว แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยข้อหาความผิดฐานมีภาชนะเครื่องต้มกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครองและฐานทำสุรากลั่นโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งจำเลยมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้แล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานมีสุรากลั่นไว้ในครอบครอง ฐานมีสุราแช่ไว้ในครอบครอง และฐานทำสุราแช่โดยไม่ได้รับอนุญาตได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเกี่ยวพันกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นฎีกาเกินกำหนด: หน้าที่ติดตามคำสั่งศาลและผลกระทบต่อการรับฟ้อง
วันที่ 27 กรกฎาคม 2530 ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2530 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2530 ว่า อนุญาตให้ขยายได้ 7 วัน นับแต่วันสุดท้ายดังนี้ แม้จะถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบคำสั่ง แต่ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องขวนขวายติดตามทราบคำสั่งศาลว่าอนุญาตให้ขยายเวลาหรือไม่เพียงใดก่อนครบกำหนดยื่นฎีกา โจทก์กลับเพิกเฉย เพิ่งนำฎีกามายื่นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2530 และไม่ใช่กรณีมีเหตุสุดวิสัย เป็นการยื่นเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาต การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณาให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นฎีกาเกินกำหนด แม้ศาลอนุญาตขยายเวลา แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ได้ติดตามคำสั่ง ศาลไม่รับพิจารณา
ก่อนครบกำหนดยื่นฎีกาทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนด ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องนี้ในวันรุ่งขึ้นแต่ยังอยู่ในระยะเวลายื่นฎีกาว่า อนุญาตให้ขยายได้ 7 วันนับแต่วันสุดท้าย ดังนี้ แม้จะถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบคำสั่งแต่ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องขวนขวายให้ทราบก่อนครบกำหนดยื่นฎีกาว่าศาลอนุญาตให้ขยายเวลาหรือไม่เพียงใด โจทก์กลับเพิกเฉยและยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดที่ศาลชั้นต้นอนุญาต การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณาให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขบทกฎหมายโดยศาลอุทธรณ์โดยไม่เปลี่ยนโทษ ทำให้จำเลยต้องห้ามฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335,83 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,83 ประกอบด้วยมาตรา 336 ทวิ ส่วนโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเฉพาะบทกฎหมายมิได้แก้ไขโทษ จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ดังนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ร่วม: การยุติสิทธิเมื่อมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 137 ให้ยกฟ้องข้อหาตามมาตรา 267 โจทก์อุทธรณ์ ส่วนโจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ สิทธิอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมในข้อหาตามมาตรา 267 จึงยุติ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อหาตามมาตรา 267 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิที่จะฎีกาว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายต่อไปอีกได้