คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ลงโทษ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,439 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6196/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานซัดทอดผู้ร่วมกระทำผิด, ความผิดสนับสนุน, การลงโทษฐานสนับสนุน แม้ฟ้องเป็นตัวการ
แม้คำเบิกความของ อ. ที่กล่าวถึงการกระทำของจำเลยจะเป็นพยานซัดทอดระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 หาได้ห้ามมิให้รับฟังพยานซัดทอดเลยเสียทีเดียวไม่ หากแต่ศาลพึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานดังกล่าวโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรือมีพยานหลักฐานอื่นประกอบมาสนับสนุน
จำเลยเป็นเพียงคนกลางติดต่อหาเมทแอมเฟตามีนมาจำหน่ายให้แก่ อ. โดยจำเลยได้รับผลประโยชน์ในส่วนการกระทำของจำเลยไปแล้ว หลังจากนั้นเมทแอมเฟตามีนย่อมตกเป็นของ อ. เพียงลำพัง โดยจำเลยมิได้เป็นเจ้าของและร่วมครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางด้วย จำเลยไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการที่ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน หากแต่การที่จำเลยติดต่อหาเมทแอมเฟตามีนมาจำหน่ายให้แก่ อ. ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ อ. ในการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยจึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 86 แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการแต่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225 เพราะข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่เป็นข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5727/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรมต่างกันจากการจัดให้มีการเล่นการพนันและร่วมเล่นพนัน ศาลลงโทษได้ทั้งสองกรรม
ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐานไม่จำต้องบันทึกโดยละเอียด แต่ก่อนบันทึกฟ้อง ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่จำเลยกระทำผิด และจะบันทึกไว้เฉพาะข้อความสำคัญ ส่วนบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เท่านั้น เมื่อบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์และคำฟ้องที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ปรากฏว่าโจทก์ระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันและร่วมกันเล่นไพ่รัมมี่ ย่อมเข้าใจได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันแล้ว แม้โจทก์จะไม่บรรยายว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมและบรรยายฟ้องเกี่ยวกับความผิดของจำเลยที่ 1 ในแต่ละข้อหาเป็นข้อย่อยมาให้ชัดเจน อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ก็ตาม ไม่อาจถือว่าบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ไม่ชัดเจนว่าโจทก์ไม่ประสงค์ลงโทษจำเลยที่ 1 ในแต่ละข้อหาแยกเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ทั้งการที่คำขอท้ายฟ้องไม่ได้ระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ เมื่อคดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 จัดให้มีการเล่นการพนันไพ่รัมมี่ แล้วจำเลยที่ 1 เข้าร่วมเล่นการพนันกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย สภาพแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกัน คือ จัดให้มีการเล่นก็โดยมีเจตนาเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน เมื่อจำเลยที่ 1 จัดให้มีการเล่น จำเลยที่ 1 ก็ได้ผลประโยชน์แห่งตนแล้ว เป็นความผิดสำเร็จไปกรรมหนึ่ง และเมื่อจำเลยที่ 1 เข้าร่วมเล่นการพนันด้วยเป็นการที่จำเลยที่ 1 มีเจตนาเข้าพนันเอาเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นกับผู้ร่วมเล่นคนอื่น จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ดังนี้ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของฟ้องอาญา: การบรรยายฟ้องแยกกรรมความผิดชัดเจนเพียงพอ ศาลพิพากษาลงโทษหลายกรรมได้
คำฟ้องโจทก์บรรยายว่า ระหว่างเวลาที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้องข้อ 2 และข้อ 2.2 จำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าไปก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า อันเป็นความผิดตามกฎหมายกรรมหนึ่ง และข้อ 2.3 โจทก์บรรยายฟ้องตอนต้นว่า "หลังจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันบุกรุกครอบครองป่าและป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกันทำไม้โดยการใช้มีดพร้าตัด ฟัน กาน ต้นไม้หวงห้ามรวม 92 ต้น ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า ตามวันเวลาที่โจทก์ระบุไว้ในข้อ 2 แต่เป็นเวลาหลังจากที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้บุกรุกเข้าไปครอบครองป่าและป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกันทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอีกกรรมหนึ่ง ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ชัดแจ้งว่า เมื่อวันเวลาใด จำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดฐานใดบ้าง อันเป็นความผิดต่างกระทงต่างกรรมกัน มิใช่เป็นการบรรยายฟ้องที่ไม่ชัดแจ้ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2986/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องไม่ชัดเจน ศาลลงโทษเกินกว่าฟ้องได้หรือไม่ และการรวมกรรมความผิด
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองพอที่จะเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องข้อ ค. ในแต่ละข้อหาเป็นแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน แม้ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกทำให้เสียทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป ข้อหาทำให้เสียทรัพย์และข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส 2 กรรมเกินจากฟ้องหาได้ไม่ เพราะเป็นการขัดต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2642-2643/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการจำหน่ายยาเสพติด พยานซัดทอดน่าเชื่อถือ ศาลลงโทษได้แม้มิได้ขอ
คำให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของ ส. , จ. และ ช. ล้วนสอดคล้องต้องกัน แม้เป็นพยานบอกเล่าและพยานซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดก็ตาม แต่การที่ ส. , จ. และ ช. ให้การไปดังกล่าว เพียงเป็นการบอกเล่าเรื่องราวถึงที่มาของเมทแอมเฟตามีนมิใช่กระทำไปโดยมุ่งต่อผลเพื่อให้ตนเองพ้นผิดแล้ว ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 รับผิดเพียงลำพังนอกจากนั้น ส. กับ จ. ยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 1 โดย ส. เป็นน้องชายและ จ. เป็นภริยา จึงไม่มีเหตุผลใดที่ต้องการกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลยที่ 1 พยานบอกเล่าและพยานซัดทอดเช่นนี้ถือได้ว่ามีลักษณะและแหล่งที่มา ซึ่งน่าเชื่อว่าจะสามารถพิสูจน์ความจริงได้ จึงนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับ ส. และ จ. ครอบครองเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
ส่วนจำเลยที่ 2 เพียงร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนมาส่งขายให้แก่จำเลยที่ 1 โดยในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ จำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องด้วย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมในการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่การที่จำเลยที่ 2 นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งขายให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 มีไว้จำหน่ายอีกทอดหนึ่งนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่การที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายแล้ว จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว
โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ เพราะโทษเบากว่าความผิดฐานเป็นตัวการ จึงมิได้เป็นการเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องอันต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2140/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยฐานรับของโจรและทำร้ายร่างกาย แม้ฟ้องเฉพาะฐานปล้นทรัพย์ ศาลลงโทษได้ตามข้อเท็จจริงที่รับฟัง
แม้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์เพียงข้อหาเดียว โดยมิได้ฟ้องฐานรับของโจรด้วยก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ใช้ไม้คมแฝกตีทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 และร่วมกันรับของโจร ซึ่งในความผิดฐานปล้นทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 340 ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป เป็นการกระทำความผิดหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัว ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม บัญญัติให้ข้อแตกต่างระหว่างการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ที่รวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้องโจทก์กับความผิดฐานรับของโจรตามที่พิจารณาได้ความนั้น มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อจำเลยที่ 3 มิได้หลงต่อสู้ ข้อพิจารณาที่ได้ความว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานรับของโจรซึ่งต่างจากฟ้องจึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานรับของโจรตามที่พิจารณาได้ความนั้นได้
เมื่อจำเลยที่ 3 ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ด้วย ซึ่งเป็นความผิดอยู่ในตัวเองอีกความผิดฐานหนึ่ง แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานปล้นทรัพย์ ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย อีกกรรมหนึ่งได้ เพราะเป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป แต่เมื่อศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 3 เพียงกรรมเดียว โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มิอาจลงโทษจำเลยที่ 3 ได้ทุกกรรม เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 3 คงลงโทษในความผิดฐานร่วมกันรับของโจรซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เยาว์ยินยอม ศาลลงโทษฐานพรากผู้เยาว์ได้ตามกฎหมาย
จำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปจาก น. มารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง แต่การพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ไม่ว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งมีโทษเบากว่า มิใช่เรื่องเป็นข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษ ศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปจากมารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญาเช็ค และการพิพากษาลงโทษหลายกรรมต่างกัน
แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุอ้างแต่ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 4 โดยมิได้อ้างคำว่า "มาตรา" ไว้ด้วย น่าจะเป็นการพิมพ์ผิดหลงเมื่อ พ.ร.บ.ดังกล่าวมีบทบัญญัติเพียง 11 มาตรา และมีเพียงมาตรา 4 มาตราเดียวเท่านั้น ที่บัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและกำหนดโทษเอาไว้ ส่วนมาตราอื่นๆ ล้วนบัญญัติในเรื่องอื่นไม่ได้บัญญัติว่าการกระทำเป็นความผิด ทั้งในคำฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายถึงการออกเช็คโดยมีลักษณะหรือการกระทำผิดของจำเลยไว้ชัดแจ้งครบถ้วนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4 ซึ่งจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีและไม่หลงต่อสู้ โดยชั้นพิจารณาจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ย่อมมีผลเท่ากับการอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (6) แล้ว ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์
โจทก์ฟ้องโดยระบุชัดแจ้งว่าจำเลยออกเช็ค 2 ฉบับ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาออกเช็คแต่ละฉบับชำระหนี้แต่ละส่วนแยกจากกัน ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามเช็คแต่ละฉบับ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดสองกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษ และใช้ดุลพินิจลดโทษให้จำเลย โดยพิพากษาแก้ไขโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน เป็นจำคุกกระทงละ 3 เดือน จึงเป็นคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นคำพิพากษาที่แก้ไขมากและไม่เป็นผลร้ายต่อจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11654/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: ฆ่าและพยายามลักทรัพย์ ศาลฎีกาลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด
จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายและฐานพยายามลักทรัพย์ จำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้ตายเพียงอย่างเดียว จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 289 (7) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตาม ป.อ. มาตรา 90 ที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 91 เป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้แม้คู่ความมิได้ฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ให้ลงโทษจำเลย ป.อ. มาตรา 289 (7) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11617/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องฐานพนันออนไลน์ไม่เคลือบคลุม พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการลงโทษ
ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 โดยได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยบังอาจเล่นการพนันทายผลฟุตบอลต่างประเทศ โดยจำเลยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ รับพนันเอาทรัพย์สินโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12 ซึ่งครบองค์ประกอบความผิดตามมาตราที่ขอให้ลงโทษจำเลยแล้ว ส่วนฟุตบอลที่มีการแข่งขันกันในวันที่เท่าใดมิใช่องค์ประกอบความผิดที่โจทก์จะต้องกล่าวมาในฟ้อง เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
of 144