คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอนุญาตฎีกาต้องระบุเหตุผลปัญหาสำคัญ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากคำสั่งอนุญาตไม่ชัดเจน
ผู้พิพากษาซึ่ง พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องซึ่ง จำเลยที่ 3 ขอให้รับรองให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดย มีคำสั่งในฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า"พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 3 เป็นหญิงหม้ายต้อง เลี้ยงดูบุตร จึงเห็นสมควรให้ศาลสูงสุดได้ วินิจฉัยอีกชั้น หนึ่ง จึงอนุญาตให้ฎีกาได้ สำเนาให้โจทก์" ดังนี้ คำสั่งดังกล่าวมิได้มีข้อความใด ที่แสดงว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกากรณีจึงถือ ไม่ได้ว่าผู้พิพากษา ซึ่ง พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษานั้นได้ อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีเจ้าพนักงานไม่สามารถแสดงเอกสารหลักฐานการตรวจสอบได้ ศาลฎีกายกประโยชน์ให้โจทก์
โจทก์ชำระภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลถูกต้อง มิได้ยื่นรายการเสียภาษีต่ำ กว่ารายได้ ดังนี้ เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจที่จะประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มขึ้นตาม ที่แจ้งการประเมิน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสัมพันธ์จ้างทำของไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน ศาลฎีกายกอุทธรณ์คดีเลิกจ้าง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์ นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาเอกสารหมาย ล.2 มิใช่ลักษณะของสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงมิใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ดังนี้ การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าสัญญาเอกสารหมาย ล.2 ไม่ใช่สัญญาตัวแทน จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่อาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมานั้นแปรเปลี่ยนเป็นสัญญาจ้างได้ อุทธรณ์โจทก์ดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1382/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีอาญาตาม พ.ร.บ.จัดหางานฯ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยแม้ไม่ได้ยกขึ้นในศาลล่าง
ปัญหาว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ดังนี้ เมื่อเป็นคดีความผิดตาม มาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.จัดหางานฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน จึงมีกำหนดอายุความฟ้องคดี1 ปี โจทก์ฟ้องจำเลยหลังเกิดเหตุเกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมเครื่องหมายการค้าและการตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาพิจารณาความร้ายแรงและเหตุผลในการรอการลงโทษ
จำเลยตั้ง โรงงานใช้ เครื่องจักรมีกำลังรวมทั้งหมดเป็นจำนวนถึง 52.2 แรงม้า ใช้ คนงานถึง 50 คน ทำการปลอมเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นรวม 3 ราย ทำการผลิตเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ถือ ได้ ว่าเป็นความผิดร้ายแรง ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลย โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยว่ากระทำการปลอมเครื่องหมายการค้ามีชื่อ สำหรับกระดุม และพลาสติกสำหรับใช้แขวน ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงริบกระดุมและพลาสติกสำหรับใช้ แขวนของกลางที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไม่ได้ ส่วนผ้าที่ตัด เป็นตัว เสื้อแล้ว แต่ยังไม่ได้เย็บ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐาน ปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ผ้าดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการปลอมเครื่องหมายการค้า จึงไม่อาจริบได้ และการที่โจทก์ขอให้ริบสิ่งของอื่นอีกหลายรายการของกลางนั้น เพียงเท่านี้ไม่อาจทราบว่าของกลางคืออะไรบ้างและเกี่ยวกับการกระทำความผิดอย่างไร จึงไม่อาจริบได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1328/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาผู้ประกันหลัง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ.(ฉบับที่ 17) ใช้บังคับ: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ผู้ประกันยื่นฎีกาภายหลังจาก พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ.(ฉบับที่ 17) ใช้ บังคับแล้ว สิทธิในการฎีกาของผู้ประกันต้อง พิจารณาตาม บทกฎหมายที่ใช้ ในขณะที่ยื่น ฎีกาดังนี้ กรณีของผู้ขอประกันจึงเป็นที่สุด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1197/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาจัดหางานหรือไม่: ศาลฎีกาชี้ขาดคดีฉ้อโกงหลอกลวงจัดหางานต่างประเทศ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันจัดหางานให้ผู้เสียหายซึ่ง เป็นคนหางานไปทำงานในประเทศ สิงคโปร์ โดย เรียกและรับค่าบริการ แต่ ในความผิดฐาน ฉ้อโกงโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองโดย ทุจริตร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วย การแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริง ซึ่ง ควรบอกให้แจ้งว่ามีงานให้ทำและจำเลยทั้งสองจะจัดให้ผู้เสียหายทำงานที่ประเทศ สิงคโปร์ อันเป็นความเท็จ ซึ่ง ความจริงแล้วไม่มีงานให้ทำ จำเลยไม่มีเจตนาและไม่สามารถที่จะส่งผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศ สิงคโปร์ ได้ เพราะจำเลยทั้งสองมิได้รับอนุญาตให้จัดหางานเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายแต่ อย่างใดจำเลยทั้งสองเพียงแต่อ้างการจัดหางานเพื่อให้ได้ เงินค่าบริการจากผู้เสียหายเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐาน จัดหางานโดย มิได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528ดัง โจทก์ฟ้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ เอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1166/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ แม้ฟ้องอ้างกฎหมายเดิม ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษตามกฎหมายใหม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทำการประมงโดย ไม่ได้รับอนุญาตคำขอท้ายฟ้องระบุอ้าง พ.ร.บ. การประมงฯ มาตรา 20 ซึ่ง เป็นบทมาตราความผิด และมาตรา 62 ทวิ ซึ่ง เป็นบทกำหนดโทษและอ้างประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 105 ข้อ 4 ซึ่ง แก้ไขมาตรา62 ทวิ แต่ ในขณะที่จำเลยกระทำผิดได้ มี พ.ร.บ. การประมง (ฉบับที่ 3)ออกใช้ บังคับแล้ว โดย แก้ไขมาตรา 62 ทวิ แม้โจทก์ จะมิได้อ้างพ.ร.บ. การประมง (ฉบับที่ 3)ฯ แต่ ได้ อ้างกฎหมายเดิม ซึ่งมีความผิดอยู่ ถือ ว่าฟ้อง โจทก์ได้ อ้างมาตราที่ลงโทษจำเลยมาสมบูรณ์แล้ว ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม กฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้และการปรับบทลงโทษดังกล่าวมี ผลถึง จำเลยที่ 1 ซึ่ง ไม่มีฝ่ายใดฎีกาด้วย แต่ โทษที่ลงแก่จำเลยที่ 1 คงยุติไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1030/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้จำเลยอายุน้อย แต่พฤติกรรมแสดงถึงความสำนึกผิดชอบเสมือนผู้ใหญ่
ขณะกระทำผิด จำเลยที่ 1 ที่ 2 อายุ 18 ปี ทั้งให้การรับสารภาพตลอดมา แต่ พฤติกรรมที่จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตั้งแต่ เริ่มแรกโดย ร่วมกันวางแผนและดำเนินการตาม แผน ที่วางไว้ เป็นพฤติกรรมอัน ส่อแสดงให้เห็นถึง ความรู้สึกผิดชอบเสมือนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ศาลย่อมใช้ ดุลพินิจ ไม่ลดมาตราส่วนโทษ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1027/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปล้นทรัพย์มีผลถึงความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืน หากข้อเท็จจริงไม่พอรับฟังความผิดฐานปล้นทรัพย์ ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องความผิดฐานอื่นได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืน พาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนดังกล่าวกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน แม้ว่าความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจะยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม
of 344