คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4820/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาจำเลยต้องห้ามตามมาตรา 248 หลังศาลล่างพิพากษายกฟ้องแย้งในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องแย้ง โดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์เพราะจำเลยเป็นเจ้าของบ้านพิพาทที่ปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว แต่ไม่ได้ใช้อยู่อาศัยเอง หากให้ผู้อื่นเช่า จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่ว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในบ้านพิพาท ฟังไม่ได้จำเลยอยู่ในเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์อันเป็นฎีกาโต้เถียงให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นแตกต่างไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าพันบาทและจำเลยไม่ได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือไม่ได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่พิพาทนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องแย้งดังนี้ จำเลยจึงต้องห้ามไม่ให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4389/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม กรณีโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วในคดีบุกรุกป่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 3 ปีแต่ให้ลงโทษปรับ 10,000 บาท แม้คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจะสั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากป่าก็มิใช่โทษที่ลงแก่จำเลย แต่เป็นการสั่งไปตามที่พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 72 ตรีให้อำนาจไว้ คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 219 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินจำนวน 19 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา แต่เป็นที่ดินมี ส.ค.1มาก่อนแล้วร่วม 3 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา ส่วนที่ดินที่เหลืออีก 16 ไร่ 20 ตารางวา จำเลยไม่มีเอกสารสิทธิที่ดินหรือผู้มีสิทธิคนเดิมมาแสดง จึงเป็นที่ป่าตามความหมายในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4(1) เมื่อจำเลยครอบครองที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดินอันเป็นที่ป่า จำเลยจึงมีความผิดฐานเข้ายึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54,72 ตรี การที่จำเลยฎีกาว่าที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่ทั้งหมดมีผู้อื่นครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนแล้วและเป็นที่ดินที่มีส.ค. 1 แล้วทั้งหมด จำเลยเพียงแต่ซื้อมาจากเจ้าของเดิมและสืบสิทธิครอบครองต่อ ไม่ใช่เป็นการเข้าครอบครองที่ป่าเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4389/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง กรณีศาลอุทธรณ์แก้โทษเป็นรอการลงโทษและปรับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปี แต่ให้ลงโทษปรับ 10,000 บาทด้วย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่สั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากป่ามิใช่โทษที่ลงแก่จำเลยแต่เป็นการสั่งไปตามที่พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา72 ตรี ให้อำนาจไว้ ไม่ทำให้คู่ความมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4371/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิฎีกาในประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและห้องแถวพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยรู้จักกับโจทก์ จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินและห้องแถวพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่ว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบดังโจทก์ฟ้องหรือไม่และศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทนี้ไว้ ซึ่งจำเลยที่ 2ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฎีกาประเด็นนี้เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแต่ในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4360/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกเฉยต่อการนำส่งสำเนาฎีกาและการจำหน่ายคดี การไต่สวนเหตุผลและการอุทธรณ์คำสั่ง
การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาไต่สวนถึงเหตุที่โจทก์มิได้จงใจไม่นำส่งสำเนาฎีกาและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาแล้วสั่งยกคำร้องนั้น หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามลำดับชั้นศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาและพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ถูกต้อง เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าการยื่นคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการดำเนินคดีที่ต่อเนื่องกับคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกา ประกอบกับคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษาได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิจารณาพิพากษาใหม่อีก ศาลฎีกาย่อมพิจารณาพิพากษาคดีไปได้
โจทก์ยื่นฎีกาแต่โจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกามีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาที่ได้สั่งไปนั้นถึงที่สุด โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งไต่สวนและสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลฎีกาที่สั่งจำหน่ายคดีซึ่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องแล้วมีคำสั่งยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ทำให้ฎีกาเดิมไม่เป็นสาระ
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ และได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นด้วย ต่อมาศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้อง ของ โจทก์แล้วมีคำสั่งให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ดังนี้ ไม่ว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องดังกล่าวจะชอบหรือไม่แต่ศาลชั้นต้นก็ได้มีคำสั่งให้ยกคดีของโจทก์ขึ้นพิจารณาใหม่แล้วฎีกาของโจทก์ในเรื่องที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3831/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์แก้โทษจำคุกแต่ยังไม่เกิน 1 ปี แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการรอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน และปรับ2,500 บาท ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลย 2 เดือน ไม่ปรับ ไม่รอการลงโทษ และไม่จ่ายสินบนนำจับก็เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3823/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับการฟ้องร้องกรณีลงโทษทางวินัย, การขึ้นเงินเดือน, และการเรียกร้องค่าเสียหายของลูกจ้าง
คดีก่อนมีประเด็นว่า คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัยชอบหรือไม่ โจทก์ถูกย้ายตำแหน่งหน้าที่ชอบหรือไม่ และควรขึ้นค่าจ้างในระหว่างที่โจทก์ถูกสอบสวนหรือไม่ ส่วนคดีหลังมีประเด็นว่าคำสั่งลงโทษโจทก์ทางวินัยชอบหรือไม่ ควรขึ้นเงินเดือนโจทก์ระหว่างถูกสอบสวนหรือไม่ โจทก์ควรได้ค่าจ้างส่วนที่ขาด โบนัส และโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือไม่ ซึ่งประเด็นและเหตุในคดีทั้งสองต่างกัน การพิจารณาคดีทั้งสองมีมูลฐานที่พิจารณาจากคำสั่งต่างฉบับกัน และคำขอท้ายฟ้องแตกต่างกันจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ถูกลงโทษโดยไม่มีความผิด การกระทำของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ และเป็นการละเมิดต่อโจทก์ดังนี้ฟ้องของโจทก์เป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เป็นคดีพิพาทด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ และเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างอันสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ พ.ศ.2522 มาตรา 8 (1) (2) และ (5) แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ถูกลงโทษตัดเงินเดือนโดยไม่มีความผิด ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งลงโทษแล้วให้บังคับจำเลยขึ้นเงินเดือนตามสิทธิคำฟ้องและคำขอที่เรียกเงินเดือนดังกล่าวไม่ถือว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างโดยตรง จะปรับใช้อายุความว่าด้วยการเรียกเงินจ้างอันมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (9) ไม่ได้
การที่นายจ้างจะลงโทษลูกจ้างประการใดได้ก็ต่อเมื่อข้อบังคับหรือระเบียบการทำงานได้กำหนดการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำว่าเป็นความผิดและได้กำหนดโทษไว้ นายจ้างจะถือเอาการปฏิบัติอันเป็นประเพณีมาลงโทษลูกจ้างมิได้
การให้บำเหน็จความดีความชอบแก่ลูกจ้างเป็นอำนาจของนายจ้าง อำนาจนี้เป็นสิทธิของนายจ้างเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานประสิทธิภาพและเป็นการดำเนินกิจการที่นายจ้างจะต้องใช้ความรู้ความสามารถของตนเอง การพิจารณาขึ้นเงินเดือนจึงเป็นสิทธิของจำเลยผู้เป็นนายจ้างสิทธิของโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3820/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวงคดีอาญา, การนอกฟ้อง, และข้อจำกัดการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15 และมาตรา 22(5)ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาคดีอาญาที่มีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกิน3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 มีเพียงโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับอีกวันละ 500 บาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนมิใช่เป็นบทกำหนดโทษปรับเกินกว่า 60,000 บาท แม้โทษปรับรายวันเมื่อรวมกันแล้วจะเกิน 60,000 บาท ศาลแขวงก็ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ ดังนั้นที่ศาลพิพากษาให้ปรับรายวันจนกว่าจะรื้อถอนอาคารโดยไม่คำนึงว่าเมื่อรวมค่าปรับทั้งหมดแล้วจะเกิน 60,000 บาทหรือไม่ จึงชอบที่จะทำได้ และศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาแก้โทษปรับให้ถูกต้องตามกฎหมายได้แม้จะเป็นการเพิ่มโทษก็หามีบทกฎหมายห้ามไว้ไม่ ฟ้องโจทก์มุ่งหมายจะให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เฉพาะความผิดฐานชัดคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 42 วรรคสอง และมาตรา 65 เท่านั้นหาได้กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 21 ด้วยไม่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ชอบที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ เพราะเป็นการนอกเหนือหรือเกินไปกว่าคำฟ้องของโจทก์ จำเลยเพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาว่า จำเลยเข้าครอบครองที่สาธารณะโดยการปลูกสร้างอาคารก่อนที่ พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522จะใช้บังคับ กรณีต้องด้วยมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นจะต้องกำหนดเวลารื้อถอนให้จำเลยไม่น้อยกว่า6 เดือน เช่นนี้ข้อฎีกาของจำเลยเป็นการเถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้คู่ความต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาดังกล่าวของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยสถานเบา เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3736/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระค่าธรรมเนียมศาลล่าช้าเกินกำหนดและเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
คำร้องของจำเลยที่อ้างเหตุผลว่าไม่สามารถหาเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาลได้ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด เพิ่งจะได้เงินมาหลังจากพ้นระยะเวลาที่ศาลกำหนดไปแล้วนั้น หาใช่กรณีที่มีเหตุสุดวิสัยไม่ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
of 303