พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2414/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อคดีอาญา: จำเลยต้องนำสืบความเชื่อมโยงของคดีอาญาแต่ละหมายเลขดำ/แดงด้วยตนเอง ศาลไม่สามารถทราบได้เอง
โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ระบุในคำร้องขอให้นับโทษต่อจากคดีหมายเลขแดงดังกล่าวโดยมิได้ระบุว่าหมายเลขคดีแดงดังกล่าวนั้นตรงกับหมายเลขคดีดำที่เท่าใด คดีหมายเลขแดงตามคำร้องจะตรงกับคดีหมายเลขดำตามคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อหรือไม่นั้นจึงเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ แม้คดีดังกล่าวจะอยู่ในศาลเดียวกันก็มิใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลจะทราบได้เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการฟ้องคดีบุกรุกเคหสถานและการร้องทุกข์เกินกำหนด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน แต่ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364 ซึ่งเป็นบทความผิดอันยอมความได้ (มิได้อ้างมาตรา 365) โดยมิได้ร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2396/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งตามหลังคดีอาญา: ศาลต้องยึดข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาอาญา หากจำเลยชดใช้เงินแล้ว ไม่ต้องรับผิดอีก
ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อศาลต้องฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไป แต่ได้ใช้ให้โจทก์ร่วมครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ร่วมอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2396/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาอาญา หากจำเลยชดใช้แล้ว ไม่ต้องรับผิดใช้เงินอีก
ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเมื่อศาลต้องฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไป แต่ได้ใช้ให้โจทก์ร่วมครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ร่วมอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลไม่ผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญาอื่น แม้มีมูลเหตุเกี่ยวข้องกัน ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนตัวเอง
คดีอาญามิได้มีบทกฎหมายใดบัญญัติบังคับให้ศาลที่พิพากษาคดีต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลในคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งได้ชี้ขาดไว้มาเป็นหลักในการวินิจฉัย แม้คดีทั้งสองนั้นจะมีมูลกรณีเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2266/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อวินิจฉัยคดีแพ่งต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ศาลอาญาได้วินิจฉัยถึงที่สุดแล้ว
คดีอาญาเรื่องบุกรุกกับคดีแพ่งขอให้ขับไล่มีประเด็นโดยตรงว่าที่พิพาทเป็นของใครเมื่อในคดีอาญาศาลฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของ ท. จำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยการเช่าคดีแพ่งจึงต้องถือตามคดีส่วนอาญาว่าที่พิพาทไม่ใช่ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2246/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีแพ่งหลังคดีอาญา: นับใหม่เมื่อศาลอาญาพิพากษายกฟ้องและมีมูลละเมิด
บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 50 วรรค 2 บัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเด็ดขาด ไปแล้วดังที่บัญญัติไว้ในวรรค 3 และ 8 รวมทั้งกรณีที่ได้มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาด้วย
ก่อนฟ้องคดีแพ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกทรัพย์ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 41 วรรค 4 ถือสิทธิของโจทก์ในอันที่จะฟ้องคดีแพ่งสำหรับจำเลยที่ 2 ย่อมมีอายุความตามหลักทั่วไปในเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ในคดีอาญาศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมยักยอกทรัพย์ของโจทก์ด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีแพ่งขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย กรณีจึงต้องนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ซึ่งบัญญัติให้ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะถึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
ก่อนฟ้องคดีแพ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกทรัพย์ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 41 วรรค 4 ถือสิทธิของโจทก์ในอันที่จะฟ้องคดีแพ่งสำหรับจำเลยที่ 2 ย่อมมีอายุความตามหลักทั่วไปในเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ในคดีอาญาศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมยักยอกทรัพย์ของโจทก์ด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีแพ่งขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย กรณีจึงต้องนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ซึ่งบัญญัติให้ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะถึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2246/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีแพ่งหลังคดีอาญา: การนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคแรก
บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสองบัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเด็ดขาดไปแล้วดังที่บัญญัติไว้ในวรรคสามและสี่รวมทั้งกรณีที่ได้มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาด้วย
ก่อนฟ้องคดีแพ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกทรัพย์ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ศาลพิพากษายกฟ้องคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้วกรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสี่ คือสิทธิของโจทก์ในอันที่จะฟ้องคดีแพ่งสำหรับจำเลยที่ 2 ย่อมมีอายุความตามหลักทั่วไปในเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ในคดีอาญาศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมยักยอกทรัพย์ของโจทก์ด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีแพ่งขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย กรณีจึงต้องนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรกซึ่งบัญญัติให้ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
ก่อนฟ้องคดีแพ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกทรัพย์ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ศาลพิพากษายกฟ้องคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้วกรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสี่ คือสิทธิของโจทก์ในอันที่จะฟ้องคดีแพ่งสำหรับจำเลยที่ 2 ย่อมมีอายุความตามหลักทั่วไปในเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ในคดีอาญาศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมยักยอกทรัพย์ของโจทก์ด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีแพ่งขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย กรณีจึงต้องนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรกซึ่งบัญญัติให้ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2110/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จเกี่ยวกับวันที่ในเช็ค ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีอาญา
ในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ จำเลยเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าโจทก์ผู้ออกเช็คไม่ได้ลงวันที่ในเช็ค จำเลยให้เสมียนลงวันที่ออกเช็คเป็นวันที่ 15 มิถุนายน 2522 ตามที่โจทก์มีจดหมายบอกให้นำเช็คไปขึ้นเงิน คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวแสดงชัดว่า วันที่ไม่ได้ลงในเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายชำระหนี้จำเลย และจำเลยผู้ทรงจดวันที่ลงเอง จะเป็นวันที่ซึ่งตกลงกันโดยโจทก์เขียนจดหมายมาบอกจริงหรือไม่ ก็มีผลเพียงให้รายการในเช็คสมบูรณ์เพื่อฟ้องคดีแพ่งเท่านั้นไม่มีผลเป็นความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ดังนั้น คำเบิกความของจำเลยที่ว่าโจทก์มีจดหมายบอกให้นำเช็คไปขึ้นเงิน หากจะเป็นเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าว จำเลยไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ คดีโจทก์ไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลและการใช้ดุลพินิจรับคดีอาญาที่ความผิดเกิดนอกเขตอำนาจ แต่จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตอำนาจ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1) บัญญัติว่า "เมื่อจำเลยมีที่อยู่ ฯลฯ ในท้องที่หนึ่งนอกเขตศาลดังกล่าวแล้ว จะชำระที่ศาลซึ่งท้องที่นั้นอยู่เขตอำนาจก็ได้" นั้น มิใช่เป็นบทบังคับให้ศาลซึ่ง ท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ ฯลฯ อยู่ในเขตอำนาจจะต้องรับชำระคดีนั้น ๆ แต่เป็นบทบัญญัติให้ดุลพินิจแก่ศาลซึ่งท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ ฯลฯ ในเขตอำนาจจะรับชำระคดีนั้นหรือไม่ก็ได้ ความผิดที่เกิดขึ้นนอกเขตศาลอาญา แต่จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตศาลอาญา เมื่อผู้เสียหายเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ศาลจึงมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจรับหรือไม่รับคดีนั้นไว้พิจารณาก็ได้
การที่ศาลอาญาสั่งในคำฟ้องของโจทก์ว่า "นัดไต่สวนให้โจทก์นำส่งหมายนัด" ยังถือไม่ได้ว่าศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจรับคดีของโจทก์ไว้ ชำระแล้ว ด้วยเหตุนี้ที่ศาลอาญาสั่งงดไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่ง ไม่ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาจึงเป็นการที่ศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจสั่งตามอำนาจที่มีอยู่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2523)
การที่ศาลอาญาสั่งในคำฟ้องของโจทก์ว่า "นัดไต่สวนให้โจทก์นำส่งหมายนัด" ยังถือไม่ได้ว่าศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจรับคดีของโจทก์ไว้ ชำระแล้ว ด้วยเหตุนี้ที่ศาลอาญาสั่งงดไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่ง ไม่ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาจึงเป็นการที่ศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจสั่งตามอำนาจที่มีอยู่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2523)