พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,439 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการยิงพลาด และการฎีกาเรื่องการลงโทษที่ไม่ชอบ
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงมีอานุภาพที่จะใช้ยิงทำให้ถึงแก่ความตายได้ถ้าถูกอวัยวะสำคัญ แต่การที่จำเลยยิงถูกผู้เสียหายบริเวณต้นแขนขวา ก็เนื่องจากผู้เสียหายรู้ตัวจึงเอี้ยวตัวหลบได้ทัน โดยจำเลยเล็งปืนมาที่หน้าอกของผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นจำเลยยืนอยู่ห่างจากผู้เสียหายเพียง 3 เมตร หากผู้เสียหายไม่เอี้ยวตัวหลบกระสุนปืนอาจถูกบริเวณหน้าอกซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าผู้เสียหายอาจได้รับอันตรายถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้จำเลยยังได้เล็งปืนไปที่ผู้เสียหายทำท่าจะยิงซ้ำ แต่นาย ค. ได้เข้าไปปัดมือของจำเลยเสียก่อนแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยว่ามีความประสงค์ต้องการฆ่าผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตายแต่ไม่สามารถยิงซ้ำได้เพราะนาย ค. ปัดมือจำเลยเสียก่อน การกระทำของจำเลยจึงบ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงความตาย จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
สำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ลงโทษในสถานเบาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
สำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ลงโทษในสถานเบาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13485/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานชิงทรัพย์และการทำร้ายร่างกายในกรรมเดียว ศาลแก้ไขคำพิพากษาให้ลงโทษเฉพาะความผิดฐานชิงทรัพย์
ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์แม้จะระบุข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแล้วบังคับให้บอกที่ซ่อนทรัพย์และเมื่อได้ทรัพย์จำนวนน้อยก็ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอีก เป็นเพียงการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อให้ครบองค์ประกอบในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ตามคำขอท้ายฟ้องอันเป็นความผิดกรรมเดียวเท่านั้น เมื่อลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายแล้วจะลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นอีกกรรมหนึ่งไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรม ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13464/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานปล้นทรัพย์ vs. พยายามวิ่งราวทรัพย์ และการลงโทษตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192
จำเลยพยายามแย่งเอาเงินจากผู้เสียหายไปซึ่งหน้า จำเลยมีความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์ แต่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาปล้นทรัพย์ โดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่าฉกฉวยซึ่งหน้า แสดงว่าไม่ประสงค์ให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ แต่ความผิดฐานนี้รวมความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดที่รวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องมาด้วยแล้ว ดังนั้น ศาลสามารถลงโทษจำเลยฐานพยายามลักทรัพย์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12603/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในความผิดฉ้อโกง แม้โจทก์มิได้อ้างมาตรา 341 โดยตรง ศาลลงโทษตามมาตรา 343 ได้
ตามคำฟ้องของโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 343 โดยไม่ได้อ้าง ป.อ. มาตรา 341 แต่ความผิดฐานดังกล่าวก็เป็นการกระทำที่มีองค์ประกอบมาจากความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 343 วรรคแรกได้ ไม่เป็นการเกินคำขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11481/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รายงานการสืบเสาะและพินิจประกอบการลงโทษ และการพิจารณาโทษที่เหมาะสม
ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นระบุว่า ศาลชั้นต้นได้แจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติให้จำเลยทราบ จำเลยไม่คัดค้านและลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าว จึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งข้อความตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติทั้งในส่วนที่เป็นผลดีและผลร้ายให้จำเลยทราบแล้ว และต้องถือว่ารายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติถูกต้องตรงกับความจริง ดังนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงมีอำนาจที่จะหยิบยกเอาข้อความตามรายงานการสืบเสาะและพินิจดังกล่าวมาประกอบการใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลยได้ เพราะถือได้ว่าศาลได้แจ้งข้อความที่เป็นผลร้ายนั้นให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยไม่คัดค้านตาม พ.ร.บ.วิธีดำเนินการคุมความประพฤติตาม ป.อ. พ.ศ.2522 มาตรา 13
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9559/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์สำเร็จในสถานที่ทำงาน: ศาลฎีกาแก้ไขข้อกฎหมายและลงโทษฐานลักทรัพย์ธรรมดา
การที่จำเลยเอายาและเครื่องเวชภัณฑ์ใส่ไว้ในถุงพลาสติก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการไปเอาจากห้องคลังยาโดยตรงหรือในช่วงที่จำเลยเอาไปวางบนชั้นด้านหลังเคาน์เตอร์เภสัชกร ย่อมถือได้ว่าจำเลยเคลื่อนย้ายทรัพย์จากที่ตั้งตามปกติและเข้าถือเอาทรัพย์นั้นแล้ว ทั้งจำเลยยังถือถุงพลาสติกออกไปแม้จะยังไม่พ้นจากห้องจ่ายยาเพราะมีผู้พบเห็นเสียก่อนทำให้จำเลยเอาทรัพย์ไปไม่ได้ ก็ถือว่าความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้วหาใช่เป็นเพียงพยายามลักทรัพย์ไม่ การปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้และไม่ถือเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย นอกจากนี้จำเลยเป็นลูกจ้างประจำและทำงานอยู่ในโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ ห้องจ่ายยาผู้ป่วยในเป็นสถานที่ทำงานของจำเลยและเหตุเกิดในช่วงเวลาที่จำเลยทำงาน จึงมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วจึงลักทรัพย์ในสถานที่ดังกล่าว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดามิใช่ลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ และศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความซึ่งเป็นบทที่เบากว่าได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8836/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานลักทรัพย์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา แม้โจทก์ไม่ได้ขอ แต่การบรรยายฟ้องชิงทรัพย์ครอบคลุมความผิดฐานลักทรัพย์
แม้โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษหลายกรรม แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าจำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 339 ไว้ซึ่งความผิดฐานลักทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำหลายอย่างซึ่งรวมอยู่ในความผิดฐานชิงทรัพย์ และแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่งซึ่งมีโทษเบากว่าความผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8836/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานลักทรัพย์ควบคู่กับฆ่าผู้อื่น แม้โจทก์ไม่ได้ขอเพิ่มโทษ แต่ศาลมีอำนาจลงโทษฐานลักทรัพย์ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นและฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 288 และ 339 แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นและฐานลักทรัพย์ เนื่องจากเจตนาลักทรัพย์เกิดขึ้นภายหลัง อันเป็นคนละกรรมกับการกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งขาดตอนไปแล้ว แม้โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษหลายกรรม แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าจำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 339 ซึ่งความผิดฐานลักทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำหลายอย่างซึ่งรวมอยู่ในความผิดฐานชิงทรัพย์ และแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่งซึ่งมีโทษเบากว่าความผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6317/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษตามกฎหมายที่ถูกต้อง แม้โจทก์อ้างกฎหมายผิด และการริบอาวุธปืนในสถานบริการ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเข้าไปในร้านนวดแผนโบราณ อันเป็นการนำอาวุธเข้าไปในสถานบริการขณะเปิดบริการโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยนำอาวุธเข้าไปในสถานบริการ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 มาตรา 16/2, 28/2 แล้ว แม้โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2548 ซึ่งไม่มี พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2548 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษก็ตาม ดังนี้ เป็นการผิดพลาดไป ข้อผิดพลาดดังกล่าวถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์อ้างกฎหมายผิด ศาลล่างทั้งสองมีอำนาจลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 อันเป็นกฎหมายที่ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า และกรณีดังกล่าวไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
สถานบริการเป็นสถานที่ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการแก่บุคคลทั่วไปจึงต้องเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวงการที่จำเลยพาอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนของกลางเข้าไปในสถานบริการในเวลากลางคืนย่อมง่ายต่อการก่อเหตุร้าย นับว่าเป็นอันตรายต่อสุจริตชนผู้เข้าไปใช้บริการในสถานบริการเป็นอย่างยิ่ง และกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงสมควรริบอาวุธปืนของกลาง
สถานบริการเป็นสถานที่ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการแก่บุคคลทั่วไปจึงต้องเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวงการที่จำเลยพาอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนของกลางเข้าไปในสถานบริการในเวลากลางคืนย่อมง่ายต่อการก่อเหตุร้าย นับว่าเป็นอันตรายต่อสุจริตชนผู้เข้าไปใช้บริการในสถานบริการเป็นอย่างยิ่ง และกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงสมควรริบอาวุธปืนของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6028/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ และการพิพากษาขัดแย้งเรื่องอาวุธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี, 83 ลงโทษจำคุก 9 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคแรก ประกอบมาตรา 340 ตรี ลงโทษจำคุก 9 ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เฉพาะบทจากความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยผู้กระทำคนใดคนหนึ่งมีอาวุธติดตัวไปด้วยเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยไม่ประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์คือ ขณะกระทำผิดจำเลยกับพวกไม่มีอาวุธ อันเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง