พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,003 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดลงสัญญาซื้อขายแทนห้างหุ้นส่วน ต้องรับผิดร่วมกันในสัญญา
จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดในห้างจำเลยที่ 1ซึ่งจดทะเบียนเป็นหุ้นส่วนจำกัด ห้างจำเลยที่ 1 มอบให้จำเลยที่ 2 กระทำการแทนห้างจำเลยที่ 1 ที่สำนักงานกรุงเทพฯ จำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อทำสัญญาขายปอให้แก่โจทก์ในนามห้างจำเลยที่ 1 และประทับตราห้างจำเลยที่1 ด้วย ดังนี้ ห้างจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญานั้น
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดได้เข้าทำสัญญาขายปอในนามห้างจำเลยที่ 1 โดยลงชื่อตนเองและประทับตราห้างจำเลยที่ 1 อันเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดได้เข้าทำสัญญาขายปอในนามห้างจำเลยที่ 1 โดยลงชื่อตนเองและประทับตราห้างจำเลยที่ 1 อันเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดลงนามสัญญาซื้อขายแทนห้างหุ้นส่วน ห้างฯ และหุ้นส่วนต้องร่วมรับผิดตามสัญญา
จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดในห้างจำเลยที่ 1 ซึ่งจดทะเบียนเป็นหุ้นส่วนจำกัด ห้างจำเลยที่ 1 มอบให้จำเลยที่ 2 กระทำการแทนห้างจำเลยที่ 1 ที่สำนักงานกรุงเทพฯ จำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อทำสัญญาขายปอให้แก่โจทก์ในนามห้างจำเลยที่ 1 และประทับตราห้างจำเลยที่1 ด้วย ดังนี้ ห้างจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญานั้น
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดได้เข้าทำสัญญาขายปอในนามห้างจำเลยที่ 1 โดยลงชื่อตนเองและประทับตราห้างจำเลยที่ 1 อันเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดได้เข้าทำสัญญาขายปอในนามห้างจำเลยที่ 1 โดยลงชื่อตนเองและประทับตราห้างจำเลยที่ 1 อันเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1879/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกคืนทรัพย์ฐานลาภมิควรได้จากสัญญาซื้อขายที่ดินที่เป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องอ้างมูลเหตุว่า จำเลยที่ 2 มีสามีเป็นคนต่างด้าวรับซื้อที่ดินของโจทก์ไปเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ดิน ขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นโมฆะนั้นมีผลเป็นการฟ้องเรียกเอาคืน ซึ่งที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า หนังสือสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นโมฆะซึ่งมีผลเป็นการเรียกที่ดินคืน และโจทก์ก็เสียค่าขึ้นศาลมาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท ทั้งตามฎีกาของโจทก์ยังขอให้พิพากษาให้โจทก์ได้กลับคืนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามเดิมด้วย กรณีจึงเป็นการเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้
การฟ้องเรียกที่ดินคืนฐานลาภมิควรได้เนื่องแต่โมฆะกรรม โจทก์จะต้องฟ้องเรียกร้องเสียภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ โจทก์รู้ถึงสิทธิเรียกคืนหรือภายในสิบปีนับแต่วันทำนิติกรรมอันเป็นโมฆะซึ่งสิทธิเรียกคืนได้มีขึ้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปขายที่ดิน และจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 ซึ่งมีสามีเป็นคนต่างด้าว ขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จะฟ้องแย้งขอให้ศาลสั่งแสดงว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นเป็นของจำเลยที่ 1 มาแต่เดิมหาได้ไม่เพราะมิได้เป็นการฟ้องแย้งโจทก์ แต่เป็นการฟ้องแย้งจำเลยด้วยกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า หนังสือสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นโมฆะซึ่งมีผลเป็นการเรียกที่ดินคืน และโจทก์ก็เสียค่าขึ้นศาลมาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท ทั้งตามฎีกาของโจทก์ยังขอให้พิพากษาให้โจทก์ได้กลับคืนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามเดิมด้วย กรณีจึงเป็นการเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้
การฟ้องเรียกที่ดินคืนฐานลาภมิควรได้เนื่องแต่โมฆะกรรม โจทก์จะต้องฟ้องเรียกร้องเสียภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ โจทก์รู้ถึงสิทธิเรียกคืนหรือภายในสิบปีนับแต่วันทำนิติกรรมอันเป็นโมฆะซึ่งสิทธิเรียกคืนได้มีขึ้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปขายที่ดิน และจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 ซึ่งมีสามีเป็นคนต่างด้าว ขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จะฟ้องแย้งขอให้ศาลสั่งแสดงว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นเป็นของจำเลยที่ 1 มาแต่เดิมหาได้ไม่เพราะมิได้เป็นการฟ้องแย้งโจทก์ แต่เป็นการฟ้องแย้งจำเลยด้วยกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1879/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกคืนทรัพย์สินฐานลาภมิควรได้จากสัญญาซื้อขายที่ดินที่เป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องอ้างมูลเหตุว่า จำเลยที่ 2 มีสามีเป็นคนต่างด้าวรับซื้อที่ดินของโจทก์ไปเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ดิน ขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นโมฆะนั้นมีผลเป็นการฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า หนังสือสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นโมฆะซึ่งมีผลเป็นการเรียกที่ดินคืน และโจทก์ก็เสียค่าขึ้นศาลมาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท ทั้งตามฎีกาของโจทก์ยังขอให้พิพากษาให้โจทก์ได้กลับคืนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามเดิมด้วย กรณีจึงเป็นการเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้
การฟ้องเรียกที่ดินคืนฐานลาภมิควรได้เนื่องแต่โมฆะกรรม โจทก์จะต้องฟ้องเรียกร้องเสียภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงสิทธิเรียกคืน หรือภายในสิบปีนับแต่วันทำนิติกรรมอันเป็นโมฆะซึ่งสิทธิเรียกคืนได้มีขึ้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปขายที่ดินและจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 ซึ่งมีสามีเป็นคนต่างด้าว ขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จะฟ้องแย้งขอให้ศาลสั่งแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น เป็นของจำเลยที่ 1 มาแต่เดิมหาได้ไม่เพราะมิได้เป็นการฟ้องแย้งโจทก์ แต่เป็นการฟ้องแย้งจำเลยด้วยกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า หนังสือสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นโมฆะซึ่งมีผลเป็นการเรียกที่ดินคืน และโจทก์ก็เสียค่าขึ้นศาลมาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท ทั้งตามฎีกาของโจทก์ยังขอให้พิพากษาให้โจทก์ได้กลับคืนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามเดิมด้วย กรณีจึงเป็นการเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้
การฟ้องเรียกที่ดินคืนฐานลาภมิควรได้เนื่องแต่โมฆะกรรม โจทก์จะต้องฟ้องเรียกร้องเสียภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงสิทธิเรียกคืน หรือภายในสิบปีนับแต่วันทำนิติกรรมอันเป็นโมฆะซึ่งสิทธิเรียกคืนได้มีขึ้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปขายที่ดินและจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 ซึ่งมีสามีเป็นคนต่างด้าว ขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จะฟ้องแย้งขอให้ศาลสั่งแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น เป็นของจำเลยที่ 1 มาแต่เดิมหาได้ไม่เพราะมิได้เป็นการฟ้องแย้งโจทก์ แต่เป็นการฟ้องแย้งจำเลยด้วยกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญาซื้อขายข้าวเปลือก: สิทธิเรียกร้องให้ส่งมอบหรือคืนเงินมีอายุความ 10 ปี
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปซื้อข้าวเปลือกแล้วให้จำเลยเก็บข้าวเปลือกไว้ เมื่อโจทก์ต้องการเมื่อใดจำเลยต้องมอบข้าวเปลือกให้ตามข้อตกลง ครั้นโจทก์ไปขอรับข้าวเปลือก จำเลยไม่อาจมอบให้ได้ ขอให้จำเลยส่งมอบข้าวเปลือก ถ้าส่งมอบไม่ได้ก็ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ได้รับมอบไว้ ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 โจทก์มีสิทธิฟ้องภายในกำหนดอายุความ 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญาซื้อขายข้าวเปลือก – สิทธิเรียกร้องตามสัญญา ไม่ใช่ค่าเสียหายจากฝากทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปซื้อข้าวเปลือกแล้วให้จำเลยเก็บข้าวเปลือกไว้ เมื่อโจทก์ต้องการเมื่อใดจำเลยต้องมอบข้าวเปลือกให้ตามข้อตกลง ครั้นโจทก์ไปขอรับข้าวเปลือก จำเลยไม่อาจมอบให้ได้ ขอให้จำเลยส่งมอบข้าวเปลือก ถ้าส่งมอบไม่ได้ก็ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ได้รับมอบไว้ ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671โจทก์มีสิทธิฟ้องภายในกำหนดอายุความ 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1725/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายหุ้นและกิจการโดยผู้ไม่มีอำนาจ ผลผูกพันของผู้ทำสัญญา และการชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจซึ่งเป็นผู้แทนของบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ต้องกระทำการไปตามวัตถุประสงค์และข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 1 และอยู่ในครอบงำของที่ประชุมใหญ่แห่งผู้ถือหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 75 และ 1144 เมื่อจำเลยที่ 2 ไปทำสัญญาโอนขายกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 อันเป็นการกระทำที่อยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของบริษัทจำเลยที่ 1 และบรรดาผู้ถือหุ้นก็ไม่เคยประชุมใหญ่อนุมัติให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาโอนขายได้ และสัญญานั้นจะโอนขายหุ้นทั้งหมดให้แก่โจทก์โดยมิได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 1 ดังนี้สัญญาโอนหุ้นและกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1ที่จำเลยที่ 2 กระทำไปนั้นจึงไม่ผูกพันบริษัทจำเลยที่ 1 และเมื่อจำเลยที่ 2 ทำสัญญาในฐานะผู้แทนของบริษัทจำเลยที่ 1 มิได้เป็นคู่สัญญาในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 จึงไม่ถูกผูกพันที่จะโอนหุ้นและส่งมอบกิจการของบริษัทให้แก่โจทก์ด้วย
สัญญามีใจความเพียงว่า บริษัทจำเลยที่ 1 ตกลงโอนขายหุ้นของผู้ถือหุ้นทั้งหมดและรับรองว่าจะจัดให้ผู้ถือหุ้นเดิมลงชื่อโอนให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน การทำสัญญาดังนี้ ยังมิใช่การดำเนินการโอนหุ้นจะนำมาตรา 1129 มาบังคับหาได้ไม่ จึงไม่อาจถือว่าข้อตกลงนี้เป็นโมฆะตามมาตราดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาขายหุ้นและกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 แก่โจทก์โดยปราศจากอำนาจที่จะกระทำแทนบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อบริษัทจำเลยที่ 1 มิได้ให้สัตยาบันแก่การที่จำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาและตามข้อเท็จจริงก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รู้อยู่ว่าจำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาโดยปราศจากอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์โดยลำพังตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823, 1167
ตามคำบรรยายฟ้องและสำเนาหนังสือสัญญาท้ายฟ้อง โจทก์กล่าวว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงนามแทนบริษัทจำเลยที่ 1 โดยแสดงให้ปรากฏในสัญญาว่าจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัทและได้รับมอบอำนาจจากที่ประชุมของผู้ถือหุ้นแล้ว ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยด้วยกันกับจำเลยที่ 1เช่นนี้ พอให้ถือได้ว่าโจทก์ขอให้บังคับเอาแก่จำเลยที่ 2 ด้วย ในเมื่อไม่อาจบังคับเอาแก่จำเลยที่ 1 ได้
โจทก์รับซื้อกิจการเดินรถของจำเลยเพื่อดำเนินการเดินรถรับส่งคนโดยสาร เมื่อจำเลยไม่มอบกิจการให้ โจทก์ย่อมไม่ได้รับผลประโยชน์อันควรจะได้ นับว่าเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามสัญญา แม้โจทก์จะนำสืบแสดงจำนวนค่าเสียหายในส่วนนี้ไม่ได้แน่นอนว่าเป็นจำนวนเท่าใด ศาลย่อมกำหนดจำนวนเงินให้จำเลยชดใช้โจทก์ตามที่เห็นสมควรตามพฤติการณ์แห่งคดี
จำเลยที่ 2 ผิดสัญญาไม่อาจโอนหุ้นและกิจการเดินรถให้แก่โจทก์ได้จึงต้องคืนเงินที่รับไว้จากโจทก์ และจะต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่จำเลยผิดสัญญา เพราะไม่มีสิทธิจะเอาเงินไว้ และถือว่าผิดนัดมาตั้งแต่นั้น
สัญญามีใจความเพียงว่า บริษัทจำเลยที่ 1 ตกลงโอนขายหุ้นของผู้ถือหุ้นทั้งหมดและรับรองว่าจะจัดให้ผู้ถือหุ้นเดิมลงชื่อโอนให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน การทำสัญญาดังนี้ ยังมิใช่การดำเนินการโอนหุ้นจะนำมาตรา 1129 มาบังคับหาได้ไม่ จึงไม่อาจถือว่าข้อตกลงนี้เป็นโมฆะตามมาตราดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาขายหุ้นและกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 แก่โจทก์โดยปราศจากอำนาจที่จะกระทำแทนบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อบริษัทจำเลยที่ 1 มิได้ให้สัตยาบันแก่การที่จำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาและตามข้อเท็จจริงก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รู้อยู่ว่าจำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาโดยปราศจากอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์โดยลำพังตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823, 1167
ตามคำบรรยายฟ้องและสำเนาหนังสือสัญญาท้ายฟ้อง โจทก์กล่าวว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงนามแทนบริษัทจำเลยที่ 1 โดยแสดงให้ปรากฏในสัญญาว่าจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัทและได้รับมอบอำนาจจากที่ประชุมของผู้ถือหุ้นแล้ว ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยด้วยกันกับจำเลยที่ 1เช่นนี้ พอให้ถือได้ว่าโจทก์ขอให้บังคับเอาแก่จำเลยที่ 2 ด้วย ในเมื่อไม่อาจบังคับเอาแก่จำเลยที่ 1 ได้
โจทก์รับซื้อกิจการเดินรถของจำเลยเพื่อดำเนินการเดินรถรับส่งคนโดยสาร เมื่อจำเลยไม่มอบกิจการให้ โจทก์ย่อมไม่ได้รับผลประโยชน์อันควรจะได้ นับว่าเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามสัญญา แม้โจทก์จะนำสืบแสดงจำนวนค่าเสียหายในส่วนนี้ไม่ได้แน่นอนว่าเป็นจำนวนเท่าใด ศาลย่อมกำหนดจำนวนเงินให้จำเลยชดใช้โจทก์ตามที่เห็นสมควรตามพฤติการณ์แห่งคดี
จำเลยที่ 2 ผิดสัญญาไม่อาจโอนหุ้นและกิจการเดินรถให้แก่โจทก์ได้จึงต้องคืนเงินที่รับไว้จากโจทก์ และจะต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่จำเลยผิดสัญญา เพราะไม่มีสิทธิจะเอาเงินไว้ และถือว่าผิดนัดมาตั้งแต่นั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1534/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์เพื่อขายหากำไร ไม่ใช่การยักยอกทรัพย์ แม้ผิดสัญญาซื้อขาย
การที่จำเลยรับทรัพย์ไปจากโจทก์ร่วมก็เพื่อหวังจะเอาไปขายหากำไรอีกต่อหนึ่ง จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องทำการขายตามคำสั่งของโจทก์ร่วมจำเลยจะขายเกินราคาหรือต่ำกว่าราคาที่โจทก์ร่วมกำหนดไว้ก็ทำได้ เพียงแต่ว่าเมื่อขายได้แล้ว ต้องส่งราคาแก่โจทก์ร่วมตามที่กำหนดกันไว้เท่านั้น การครอบครองทรัพย์ของจำเลยในลักษณะเช่นนี้จึงมิใช่ครอบครองทรัพย์ในฐานตัวแทนโจทก์ร่วม หากแต่ครอบครองโดยอาศัยอำนาจแห่งสัญญาที่โจทก์ร่วมกับจำเลยมีนิติสัมพันธ์ต่อกันเมื่อจำเลยบิดพลิ้วไม่ส่งเงินที่ขาย ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นทั้งโจทก์ก็สืบไม่ได้ว่า จำเลยได้เบียดบังตัวทรัพย์ไว้โดยทุจริต จึงหาใช่เป็นการผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ตามฟ้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายผลลำไยไม่ผูกพันผู้รับโอนที่ดิน แม้จะทราบข้อตกลงและเคยยอมให้เก็บผลลำไย
ย. ทำสัญญาขายผลลำไยกับโจทก์มีกำหนด 10 ปี โดยให้โจทก์เป็นผู้เก็บผลลำไยเองจากต้นในสวนของ บ. และตลอดเวลาที่โจทก์เก็บผลลำไยยังไม่ครบกำหนด บ. จะไม่ขายที่ดินสวนลำไยแก่ผู้ใด โจทก์เข้าเก็บผลลำไยตามสัญญาได้ 3 ปี แล้วต่อมา บ. จดทะเบียนโอนขายที่ดินสวนลำไยให้แก่จำเลย ดังนี้ สัญญาซื้อขายผลลำไยระหว่างโจทก์และ บ. เป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิซึ่งมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น จะใช้ยันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ ฉะนั้น ถึงแม้ว่าจำเลยจะทราบถึงข้อตกลงในสัญญา และต่อมาจำเลยยังยอมให้โจทก์เข้าเก็บผลลำไยอีก 2 ปีก็ตาม แต่เมื่อจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาในตอนหลัง โจทก์ก็หามีสิทธิที่จะนำเอาข้อตกลงนั้นมาใช้บังคับแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินไม่ เพราะไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิของโจทก์ไว้เป็นพิเศษในสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับ บ. นั้น ตกติดและมีผลบังคับจำเลยผู้รับโอนด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายผลลำไยไม่ผูกพันผู้รับโอนที่ดิน แม้ทราบสัญญาและเคยยอมให้เก็บผลลำไย
ย. ทำสัญญาขายผลลำไยกับโจทก์มีกำหนด 10 ปี โดยให้โจทก์เป็นผู้เก็บผลลำไยเองจากต้นในสวนของ บ. และตลอดเวลาที่โจทก์เก็บผลลำไยยังไม่ครบกำหนด บ. จะไม่ขายที่ดินสวนลำไยแก่ผู้ใดโจทก์เข้าเก็บผลลำไยตามสัญญาได้ 3 ปี แล้วต่อมา บ. จดทะเบียนโอนขายที่ดินสวนลำไยให้แก่จำเลย ดังนี้ สัญญาซื้อขายผลลำไยระหว่างโจทก์และ บ. เป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิซึ่งมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น จะใช้ยันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ ฉะนั้นถึงแม้ว่าจำเลยจะทราบถึงข้อตกลงในสัญญา และต่อมาจำเลยยังยอมให้โจทก์เข้าเก็บผลลำไยอีก 2 ปีก็ตาม แต่เมื่อจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาในตอนหลัง โจทก์ก็หามีสิทธิที่จะนำเอาข้อตกลงนั้นมาใช้บังคับแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินไม่ เพราะไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิของโจทก์ไว้เป็นพิเศษให้สัญญาที่โจทก์ทำไว้กับ บ. นั้น ตกติดและมีผลบังคับจำเลยผู้รับโอนด้วย