พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977-978/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในประเด็นแบ่งแยกที่ดิน ทำให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาไม่มีอำนาจวินิจฉัย แม้จะมีการร้องขอในคำแก้
ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่า ที่ดินเฉพาะส่วนเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกให้โจทก์ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเพียงว่า ที่เฉพาะส่วนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แล้วโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ฎีกา โจทก์คงเพียงแต่ร้องขอมาในคำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกาขอให้ศาลพิพากษาแบ่งแยกให้ด้วยเท่านั้น ย่อมไม่มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการพิจารณาคำร้องสอด – เหตุสมควรและผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
การที่ผู้ร้องสอด ร้องสอดเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) (2) นั้น มิได้หมายความว่า ศาลต้องอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความได้ทุกกรณีไป ศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาว่ามีเหตุสมควรอนุญาตหรือไม่ แล้วแต่คำร้องนั้นมีเหตุสมควรเพียงใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการอนุญาตให้ร้องสอดเป็นคู่ความ ขึ้นอยู่กับเหตุสมควรและไม่กระทบต่อการพิจารณาคดี
การที่ผู้ร้องสอด ร้องสอดเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)(2) นั้นมิได้หมายความว่า ศาลต้องอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความได้ทุกกรณีไป ศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาว่ามีเหตุสมควรอนุญาตหรือไม่ แล้วแต่คำร้องนั้นมีเหตุสมควรเพียงใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 699/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอห้ามชั่วคราวเป็นคำขอฝ่ายเดียว ศาลมีอำนาจพิจารณาฟังคู่ความอีกฝ่ายก่อนได้
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางเดินซึ่งเป็นภารจำยอมและได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราว คือให้จำเลยเปิดทางเดินในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดนั้นถือว่าเป็นคำขอฝ่ายเดียว กฎหมายไม่บังคับว่าต้องให้โอกาสคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งคัดค้านก่อนจึงอยู่ในอำนาจหรือดุลพินิจของศาลที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธหนี้ในคดีล้มละลายต้องทำต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้น ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาเหตุผลอื่น
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือไปถึงผู้ร้องให้ชำระหนี้หรือชี้แจงข้อปฏิเสธเป็นหนังสือต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 14 วัน ผู้ร้องเข้าใจผิดว่ากองบังคดีล้มละลายเป็นส่วนราชการของศาลแพ่ง จึงมีหนังสือปฏิเสธหนี้ไปถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้รับชำระหนี้หรือหนังสือปฏิเสธหนี้จากผู้ร้องภายในกำหนดเวลา จึงถือว่าผู้ร้องเป็นลูกหนี้กองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 119 ศาลแพ่งได้ออกคำบังคับให้ผู้ร้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้องขอให้ศาลแพ่งสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณาหนังสือปฏิเสธหนี้ของผู้ร้อง ศาลแพ่งสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใมหญ่เห็นว่า ผู้ร้องมิได้แจ้งการปฏิเสธเป็นหนังสือต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 วรรคแรก เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ศาลสั่งบังคับผู้ร้องชำระหนี้ ศาลก็ต้องสั่งบังคับให้ผู้ร้องชำระหนี้ผู้ร้องจะขอให้ศาลสั่งเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ข้อที่ผู้ร้องกล่าวถึงความเข้าใจผิดจึงได้มีหนังสือไปถึงอธิบดีศาลแพ่งนั้น แม้ศาลจะเห็นใจในความเข้าใจผิดศาลก็ไม่มีอำนาจที่จะสั่งเป็นอย่างอื่นให้เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสั่งคืนของกลางจำกัดเฉพาะกรณีมีคำเสนอของเจ้าของแท้จริงที่ไม่ได้รู้เห็นการกระทำผิด
คดีนี้กับคดีก่อนเป็นกรณีเดียวกัน ทรัพย์สินของกลางศาลพิพากษาริบแล้วในคดีก่อน โจทก์กล่าวถึงทรัพย์สินนั้นมาในฟ้องคดีนี้ให้บริบูรณ์และมิได้มีคำขออย่างใด ทรัพย์สินนั้นจึงไม่ใช่ของกลางคดีนี้ ดังนี้ ศาลไม่มีอำนาจที่จะพึงสั่งคืนให้จำเลย และจะสั่งคืนได้ก็ต่อเมื่อมีคำเสนอของเจ้าของขอคืนในคดีก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการสั่งคืนของกลางที่ริบแล้ว: กรณีทรัพย์สินเดียวกันฟ้องหลายคราว จำเป็นต้องมีคำเสนอของเจ้าของ
คดีนี้กับคดีก่อนเป็นกรณีเดียวกันทรัพย์สินของกลางศาลพิพากษาริบแล้วในคดีก่อน โจทก์กล่าวถึงทรัพย์สินนั้นมาในฟ้องคดีนี้ให้บริบูรณ์และมิได้มีคำขออย่างใดทรัพย์สินนั้นจึงไม่ใช่ของกลางคดีนี้ดังนี้ ศาลไม่มีอำนาจที่จะพึงสั่งคืนให้จำเลยและจะสั่งคืนได้ก็ต่อเมื่อมีคำเสนอของเจ้าของขอคืนในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 592/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสั่งงดสืบพยานและการขาดอายุความในคดีหนี้ซื้อขาย
เมื่อศาลเห็นว่าประเด็นข้อพิพาทของโจทก์จำเลยตามที่แถลงต่อศาลไม่จำเป็นจะต้องให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานมาสืบในประเด็นข้อใดอีกแล้ว ศาลก็มีอำนาจสั่งงดการนำพยานมาสืบ และชี้ขาดตัดสินไปได้
โจทก์เป็นบุคคลผู้เป็นพ่อค้า(ค้าน้ำมันเชื้อเพลิง) ต้องใช้สิทธิเรียกร้องค่าน้ำมันที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์ภายในกำหนดอายุความ 2 ปี เว้นแต่จะมีเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อโจทก์ว่าผู้ที่ชำระหนี้ไม่ใช่จำเลย และไม่ยืนยันว่าผู้ชำระหนี้เป็นตัวแทนของจำเลย อันจะพอถือได้ว่าจำเลยได้รับสภาพหนี้ ก็ไม่มีเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง
โจทก์เป็นบุคคลผู้เป็นพ่อค้า(ค้าน้ำมันเชื้อเพลิง) ต้องใช้สิทธิเรียกร้องค่าน้ำมันที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์ภายในกำหนดอายุความ 2 ปี เว้นแต่จะมีเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อโจทก์ว่าผู้ที่ชำระหนี้ไม่ใช่จำเลย และไม่ยืนยันว่าผู้ชำระหนี้เป็นตัวแทนของจำเลย อันจะพอถือได้ว่าจำเลยได้รับสภาพหนี้ ก็ไม่มีเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษคนไทยกระทำผิดนอกประเทศ: อำนาจศาลไทยและไม่ต้องอ้างอิงกฎหมายต่างประเทศ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8(ก) วรรคสอง(9) นั้นเมื่อจำเลยเป็นคนไทยกระทำผิดฐานชิงทรัพย์นอกประเทศ ผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษแล้ว จำเลยจึงต้องรับโทษในราชอาณาจักรและในคำฟ้องก็ไม่ต้องอ้างกฎหมายอาญาของประเทศที่จำเลยไปกระทำผิด กับโจทก์ไม่จำต้องนำสืบกฎหมายต่างประเทศ
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ส่งประเด็นไปสืบตำรวจพม่า 3 คน ณประเทศพม่า หรือ ณ สถานทูตประเทศพม่าและร้อยตำรวจเอกจำนงเบิกความประกอบยืนยันในคำให้การตำรวจเหล่านั้น ย่อมไม่มีน้ำหนักอะไร นั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุกไม่เกิน 5 ปีจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ส่งประเด็นไปสืบตำรวจพม่า 3 คน ณประเทศพม่า หรือ ณ สถานทูตประเทศพม่าและร้อยตำรวจเอกจำนงเบิกความประกอบยืนยันในคำให้การตำรวจเหล่านั้น ย่อมไม่มีน้ำหนักอะไร นั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุกไม่เกิน 5 ปีจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: คดีความผิดต่อประชาชนตามประกาศคณะปฏิวัติฯ อยู่ในอำนาจศาลทหาร แม้ศาลพลเรือนรับฟ้องแล้ว
ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนตั้งแต่ มาตรา 217 ถึง มาตรา 239 นั้นมีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 16 ซึ่งใช้บังคับระหว่างเกิดเหตุให้อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษา ดังนั้น ที่ศาลจังหวัดปราจีนบุรีรับฟ้องคดีซึ่งมีคำขอให้ลงโทษตามมาตรา 229 ซึ่งเป็นบทหนักไว้ดำเนินการตลอดมาถึงชั้นศาลอุทธรณ์ จึงไม่ชอบที่จะกระทำได้เกี่ยวกับอำนาจศาล
ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มีความหมายเพียงว่า เมื่อศาลพลเรือนสั่งรับฟ้องไว้ความยังไม่ปรากฏโดยแจ้งชัดว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ เช่น ยังไม่แน่ว่าจำเลยเป็นทหารประจำการหรือไม่ ต่อเมื่อได้รับฟ้องแล้วความจึงปรากฏว่าจำเลยเป็นทหารประจำการดังนี้ ศาลพลเรือนย่อมดำเนินการพิจารณาพิพากษาต่อไปได้ (อ้างนัยฎีกาที่ 463/2504) แต่เมื่อคดีปรากฏตั้งแต่แรกตามฟ้องว่า ความผิดที่กล่าวหาเป็นความผิดที่ต้องขึ้นอยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศคณะปฏิวัติ ฯ แล้ว เช่นนี้หาใช่ความเพิ่งปรากฏขึ้นภายหลังว่า เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหารไม่ (อ้างฎีกาที่ 1352/2506) ศาลพลเรือนไม่มีอำนาจรับไว้พิจารณาพิพากษา พิพากษากลับ ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องโจทก์
ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มีความหมายเพียงว่า เมื่อศาลพลเรือนสั่งรับฟ้องไว้ความยังไม่ปรากฏโดยแจ้งชัดว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ เช่น ยังไม่แน่ว่าจำเลยเป็นทหารประจำการหรือไม่ ต่อเมื่อได้รับฟ้องแล้วความจึงปรากฏว่าจำเลยเป็นทหารประจำการดังนี้ ศาลพลเรือนย่อมดำเนินการพิจารณาพิพากษาต่อไปได้ (อ้างนัยฎีกาที่ 463/2504) แต่เมื่อคดีปรากฏตั้งแต่แรกตามฟ้องว่า ความผิดที่กล่าวหาเป็นความผิดที่ต้องขึ้นอยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศคณะปฏิวัติ ฯ แล้ว เช่นนี้หาใช่ความเพิ่งปรากฏขึ้นภายหลังว่า เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหารไม่ (อ้างฎีกาที่ 1352/2506) ศาลพลเรือนไม่มีอำนาจรับไว้พิจารณาพิพากษา พิพากษากลับ ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องโจทก์