คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
จำกัดสิทธิ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 329 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 523/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ไม่เป็นคู่ความ แม้เป็นหนี้ร่วม
แม้หนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยจะเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเคยเป็นสามีภริยากันหรือไม่ก็ตาม โจทก์ก็จะนำยึดสินส่วนตัวของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลนอกคดีไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีบังคับคดีและการจำกัดสิทธิอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดแยกกันเป็น2 ส่วน ส่วนแรกขอให้ปล่อยที่ดินกับบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินอันเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์และส่วนที่สองขอให้ปล่อยทรัพย์ต่าง ๆรวม 7 รายการ ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์แม้จะร้องขอรวมกันมา การที่จะอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ก็จะต้องถือทุนทรัพย์ของผู้ร้องแต่ละส่วน ซึ่งไม่เกี่ยวเนื่องกันและแยกออกจากกันได้ เมื่อคำขอส่วนที่สองซึ่งเป็นคดีเกี่ยวด้วยสังหาริมทรัพย์อันมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองหมื่นบาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4009/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าจำกัดสิทธิ ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ไม่ต้องผูกพันการกระทำนอกสัญญาเดิม
สัญญาเช่าที่ดินซึ่งเจ้าของที่ดินเดิมทำไว้กับโจทก์ระบุยินยอมให้โจทก์มีสิทธิใช้ประโยชน์เฉพาะภายในเขตทรัพย์สินที่เช่าเท่านั้น การที่ผู้ให้เช่าเดิมยินยอมลงชื่อรับรองให้โจทก์สร้างท่าเทียบเรือหน้าที่ดินที่เช่า เป็นการกระทำนอกเหนือสัญญาเช่าไม่ผูกพันจำเลยผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่า แม้โจทก์ผู้เช่าจะมีหนังสือถึงจำเลยว่าโจทก์จะเป็นผู้รับผิดชอบเองหากมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดในหน้าที่ดินบนฝั่งของเจ้าของที่ดินที่เช่า โจทก์ก็ไม่มีสิทธิบังคับจำเลยผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าให้กระทำนอกเหนือไปจากสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 371/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับโอนเช็คพิพาทโดยรู้ข้อตกลงจำกัดสิทธิ ทำให้ผู้รับโอนไม่มีอำนาจเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
ขณะรับโอนเช็คพิพาทโจทก์รู้ข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2อยู่แล้วว่าจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันให้เช็คพิพาทเป็นเพียงเช็คค้ำประกันเงินกู้ มิให้นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินและไม่ให้โอนไปยังผู้อื่น การที่โจทก์รับโอนเช็คพิพาทไว้จากจำเลยที่ 2ทั้ง ๆ ที่ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวเช่นนี้ จึงเท่ากับโจทก์กระทำโดยไม่สุจริต ถือได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คไว้โดยคบคิดกันฉ้อฉลกับจำเลยที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 916 ประกอบด้วยมาตรา 989 โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิอุทธรณ์-ฎีกาในคดีปรับน้อยกว่า 100 บาท และการพิจารณาโทษรอการลงโทษ
เฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา371ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนั้นอัตราโทษอย่างสูงที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาทต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193ทวิการที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมดรวมถึงอุทธรณ์ดุลพินิจในการกำหนดโทษซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับข้อหาความผิดตามมาตรา371ด้วยโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในอุทธรณ์ว่ามีเหตุอันควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193ตรีบัญญัติไว้จึงเป็นการไม่ชอบศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดดังกล่าวความผิดในข้อหาดังกล่าวย่อมยุติเพียงศาลชั้นต้นผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา221หาได้ไม่เพราะมิใช่กรณีฎีกาของจำเลยต้องห้ามฎีกาตามมาตรา218,219และ220การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาทั้งหมดจึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขาดนัดยื่นคำให้การ-สิทธิจำกัด-เจ้าของรวมฟ้องรบกวนได้-อำนาจฟ้อง
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงเท่ากับมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่ดินนั้นได้ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดคดีให้ตนเป็นฝ่ายชนะโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดไม่มาศาลนั้นไม่ได้ แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะคดีต่อเมื่อเห็นว่าข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านั้นมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดโดยพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ว่ามีน้ำหนักให้รับฟังแล้วเช่นนี้ย่อมไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นการจงใจและไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานนั้นชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 199วรรคสองแล้ว โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินมี ส.ค.1 คนหนึ่งย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ที่มารบกวนหรือแย่งที่ดินนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 แม้มาตรา 1359 จะอยู่ในหมวดกรรมสิทธิ์รวมก็ตาม ย่อมนำมาใช้บังคับในหมวดว่าด้วยการครอบครองได้ เพราะมีลักษณะเป็นเจ้าของรวมเหมือนกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 908/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนวนทุนทรัพย์พิพาทเกิน 5 หมื่น: ข้อจำกัดการฎีกาในคดีละเมิดและการโต้เถียงดุลพินิจ
โจทก์ทั้งสองฟ้องฐาน ละเมิดขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนรวมกันเป็นเงิน 58,095.50 บาท แต่ จำนวนเงินที่โจทก์ที่ 1 ในฐานะ ผู้รับประกันภัยมีสิทธิเรียกร้องคือ 23,659.50บาท ซึ่ง เป็นเงินที่โจทก์ที่ 1 รับช่วงสิทธิมาจากโจทก์ที่ 2 ส่วนโจทก์ที่ 2 มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนส่วนอื่นที่โจทก์ที่เรียกร้องไม่ได้เป็นจำนวน 34,400 บาท ดังนี้ หนี้ที่โจทก์ทั้งสองเรียกร้องไม่ใช่หนี้ร่วมที่ไม่อาจจะแบ่งแยกได้ ที่โจทก์ทั้งสองแต่ ละคนฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดจึงเป็นคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีโจทก์จึงต้องห้าม ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5875/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิอุทธรณ์คดีอาญา: องค์ประกอบความผิดไม่เข้าข่าย & โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 342,265,268ซึ่งมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกเกินกว่า 3 ปี แต่โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานฉ้อโกงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 342 ไม่อาจลงโทษจำเลยฐานนี้ได้ ส่วนความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 265,268 ได้เช่นกัน คงเหลือความผิดฐานอื่นซึ่งมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี จึงเป็นคดีซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5564/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการนำสืบข้อเท็จจริงใหม่นอกคำให้การ และผลกระทบต่อการวินิจฉัยของศาล
จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยซึ่งผู้ตายยกให้แต่กลับนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานนอกข้อต่อสู้ในคำให้การและนอกประเด็นพิพาทที่ศาลกำหนดไว้ ไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบ ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ไม่ได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5444/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดสิทธิฎีกาในคดีแพ่ง: ทุนทรัพย์ และการขาดนัดยื่นคำให้การ/ขาดนัดพิจารณา
ในชั้นขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ก็ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีเป็นหลักในการพิจารณาว่าเป็นคดีที่ฎีกาได้หรือไม่ เมื่อทุนทรัพย์ในคดีเป็นเงินไม่เกินห้าหมื่นบาท จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
จำเลยฎีกาว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาอันเป็นข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยหาได้ไม่.
of 33