คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
จำหน่าย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 632 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1916/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย: ศาลรับฟังพยานหลักฐานโจทก์ และใช้บทสันนิษฐานตามกฎหมาย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาเพียงประการเดียวข้อเท็จจริงในความผิดฐานมีอีเฟดรีนเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในครอบครองเพื่อขายและฐานขายอีเฟดรีนเป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดทั้งสองฐานที่ว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15
ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ในปัญหาว่า จำเลยกระทำผิดฐานดังกล่าวหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 245 วรรคสอง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยระบุวรรคสองของมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และปรับบท ป.อ.มาตรา 83 เพิ่มขึ้น แม้จะเป็นการแก้ไขเล็กน้อย แต่ความผิดฐานนี้ก็ยังไม่ถึงที่สุด จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาในความผิดฐานนี้ได้ เมื่อศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ ทั้งประจักษ์พยานและพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีนี้แล้วเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญ ทั้งไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน และบางคนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติการไปตามหน้าที่มีการดำเนินการวางแผนเพื่อจับกุมจำเลยเป็นขั้นตอนและจับกุมจำเลยได้พร้อมของกลางเป็นจำนวนมาก ทั้งไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะทำพยานหลักฐานเท็จปรักปรำกลั่นแกล้งจำเลย เมื่อส่งผงขาวของกลางไปตรวจพิสูจน์แล้ว ปรากฏว่าเป็นเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 มีปริมาณสารบริสุทธิ์หนัก 1,298.2 กรัม เกินกว่า 20 กรัม ซึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 15 วรรคสอง ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นบทสันนิษฐานโดยเด็ดขาดของกฎหมาย และจำเลยไม่อาจจะนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ เมื่อจำเลยถูกจับกุมได้ขณะครอบครองเฮโรอีนของกลาง และตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว การกระทำของจำเลยมีลักษณะร่วมกันเป็นขบวนการกับบุคคลจำนวนมากในการค้าขายเสพติด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
การรวบรวมพยานหลักฐานและนำพยานเข้าสืบในระบบกล่าวหา เป็นเรื่องของโจทก์เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้องหรือเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อศาลรับฟังข้อเท็จจริงได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้องแล้วก็พิพากษาลงโทษจำเลย โดยไม่จำต้องฟังคำเบิกความหรือดูอากัปกิริยาของสายลับก็ได้
แม้โจทก์มิได้นำสายลับมาสืบแสดงให้ศาลได้พิจารณาและวินิจฉัยคำเบิกความและอากัปกิริยาของสายลับ และให้โอกาสจำเลยได้ถามค้านค้นหาความจริงเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหาของโจทก์ ก็หาได้ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์อื่น ๆมีพิรุธสงสัยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดลิขสิทธิ์จากการทำซ้ำและจำหน่ายเอกสาร: การพิสูจน์ข้อยกเว้นและผลการริบของกลาง
จำเลยนำเครื่องถ่ายเอกสารทำสำเนาจากต้นฉบับหนังสือซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทั้งสามเป็นเล่ม จำนวน 71 เล่ม หนังสือยังไม่เข้าเล่มจำนวน 290 ชุด และเอกสารเป็นแผ่นจำนวน 158 ชุด (6,162 แผ่น)ของกลาง อันเป็นความผิดฐานทำซ้ำงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วม ที่จำเลยกล่าวอ้างข้อยกเว้นความรับผิดตามกฎหมายว่า จำเลยซึ่งมีอาชีพรับจ้างถ่ายสำเนาเอกสารได้ถ่ายสำเนาเอกสารของกลางตามคำสั่งของผู้ว่าจ้างคือนักศึกษาที่นำไปใช้เพื่อการศึกษาหรือวิจัย ได้รับการยกเว้นมิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องนำสืบเพื่อพิสูจน์ให้เห็นตามข้อกล่าวอ้างของตน
อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมทั้งสามที่ว่า จำเลยกระทำผิดฐานมีสำเนาเอกสารของกลางไว้เพื่อขายอันเป็นการค้านั้น โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์โดยทำซ้ำหนังสือซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทั้งสาม และนำหนังสือซึ่งจำเลยทำซ้ำโดยละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าวออกขาย เสนอขายแก่บุคคลทั่วไปเท่านั้น หาได้บรรยายว่า จำเลยมีหนังสือซึ่งจำเลยทำซ้ำโดยละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าวไว้เพื่อขายมาในฟ้องด้วยไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมทั้งสามดังกล่าวเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 75 เป็นบทบัญญัติบังคับเด็ดขาดให้ริบสิ่งที่ได้ใช้ในการกระทำความผิด
เครื่องถ่ายเอกสารของกลาง 4 เครื่อง เป็นเครื่องถ่ายเอกสารที่ใช้ผลิตสำเนาเอกสารของกลาง เครื่องถ่ายเอกสาร 4 เครื่อง ของกลาง จึงเป็นสิ่งที่ได้ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งต้องริบตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 75

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานมียาเสพติดเพื่อจำหน่าย จำเลยปฏิเสธ พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟัง
ในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโจทก์ไม่มีพยานนำสืบให้ชัดแจ้งว่า จำเลยมีพฤติการณ์ในการจำหน่ายประการใดบ้างส่วนคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ทั้งจำเลยก็ได้ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา จึงไม่อาจอาศัยมาฟังลงโทษจำเลยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นความผิดที่มีโทษฉกรรจ์ ซึ่งตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำพยานเข้าสืบประกอบ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
เจ้าพนักงานผู้จับกุมได้พบตัวจำเลยขณะขับรถโดยสารประจำทางจึงได้ติดตามไปทำการจับกุมและตรวจค้นในทันทีทันใด ที่จำเลยขับรถเข้าไปจอดในอู่รถโดยสารประจำทาง มิฉะนั้น จำเลยย่อมหลบหนีหรือเคลื่อนย้ายยาเสพติดให้โทษของกลางไปได้ เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานผู้จับกุมสามารถค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้นตาม ป.วิ.อ.มาตรา 92(4)
ที่จำเลยฎีกาว่า มีปัญหาส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้จับกุมด้วย ก็มิได้ปรากฏว่า มีข้อเท็จจริงใด ๆ เป็นการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นคือใครและได้กระทำการอันมิชอบแต่ประการใด จึงไม่เป็นสาระที่จะเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานมียาเสพติดเพื่อจำหน่ายต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน แม้จำเลยให้การรับสารภาพ
ในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโจทก์ไม่มีพยานนำสืบให้ชัดแจ้งว่า จำเลยมีพฤติการณ์ในการจำหน่ายประการใดบ้าง ส่วนคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ทั้งจำเลยก็ได้ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา จึงไม่อาจอาศัยมาฟังลงโทษจำเลยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นความผิดที่มีโทษฉกรรจ์ ซึ่งตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำพยานเข้าสืบประกอบ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
เจ้าพนักงานผู้จับกุมได้พบตัวจำเลยขณะขับรถโดยสารประจำทางจึงได้ติดตามไปทำการจับกุมและตรวจค้นในทันทีทันใด ที่จำเลยขับรถเข้าไปจอดในอู่รถโดยสารประจำทาง มิฉะนั้น จำเลยย่อมหลบหนีหรือเคลื่อนย้ายยาเสพติดให้โทษของกลางไปได้ เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานผู้จับกุมสามารถค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 92(4)
ที่จำเลยฎีกาว่า มีปัญหาส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้จับกุมด้วย ก็มิได้ปรากฏว่า มีข้อเท็จจริงใด ๆ เป็นการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นคือใครและได้กระทำการอันมิชอบแต่ประการใด จึงไม่เป็นสาระที่จะเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองและจำหน่าย ศาลฎีกาแก้ไขโทษและคำสั่งริบของกลาง
เมื่อเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนต่างเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เหมือนกัน การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองและมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 ส่วนธนบัตรของกลางไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาเพราะกระทำความผิดคดีนี้ จึงไม่อาจริบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 984/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดเรื่องยาเสพติด: การมียาเสพติดเกิน 20 กรัม ถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 เป็น ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดของกฎหมายที่ให้ถือว่าถ้ามียาเสพติด ให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มิได้บัญญัติว่าถ้ามีไว้ในครอบครองไม่ถึง 20 กรัม แม้จะจำหน่าย ก็จะฟังว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7473/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานครอบครองยาเสพติด แม้ฟ้องจำหน่าย – ศาลลงโทษได้หากมีหลักฐานจากการพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4,7,15,66,102 โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 5 จำหน่ายเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ให้แก่ผู้มีชื่อ แม้โจทก์มิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 3และที่ 4 ร่วมกันครอบครองเฮโรอีนของกลางก็ตาม แต่เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกร่วมกันมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องเกี่ยวกับฐานความผิดอันเป็นข้อแตกต่างกันในรายละเอียดทั้งจำเลยที่ 3 และที่ 4 นำสืบต่อสู้ว่า จำเลยทั้งสองมิได้มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครอง การบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าว จึงไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4ในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองกรณีมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7423/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดจากพยานหลักฐานหลายส่วน ทั้งพยานบุคคล, ธนบัตร, และคำรับสารภาพ
พยานโจทก์ผู้จับกุมเบิกความสอดคล้องว่าได้ไปร่วมจับกุมจำเลยในซอยที่เกิดเหตุจริง แม้โจทก์จะไม่ได้นำสืบสายลับเป็นพยาน แต่ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่อ้างส่งก็ปรากฏว่าได้มีการลงหมายเลขธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อทั้งสามฉบับไว้ตั้งแต่เวลา 14.15 นาฬิกา ซึ่งมีหมายเลขธนบัตรทั้งสามฉบับที่ตรวจค้นพบอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลย ตามสำเนาภาพถ่ายที่เจ้าพนักงานตำรวจถ่ายสำเนาหลังจากยึดได้จากจำเลยและจำเลยลงลายมือชื่อรับรองไว้ ทั้งเวลาที่เข้าจับกุมและตรวจค้น ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยซึ่งตามบันทึกการจับกุมว่าเป็นเวลา 15.40 นาฬิกา ห่างจากเวลาที่ลงหมายเลขธนบัตรในบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีไม่นาน และใกล้ ๆ กับจุดที่ตรวจค้นตัวจำเลยพบธนบัตรของกลางนั้นยังพบเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 6 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ใกล้เคียงบริเวณที่จำเลยยืนมีลักษณะตรงกับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยขายให้แก่สายลับนอกจากนี้จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและนำร้อยตำรวจเอก ป. พนักงานสอบสวนไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งถ้าไม่เป็นความจริงก็คงจะไม่ยอมกระทำเช่นนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเงินที่ได้จากการจำหน่ายยาเสพติด: ศาลมีอำนาจริบได้ แม้ไม่ใช่โทษจำคุก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 97, 102 ป.อ.มาตรา 91,83, 32, 33 และมีคำขอให้ริบของกลางคือธนบัตรที่จำเลยทั้งสองทอนให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการล่อซื้อด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบหรือไม่ริบธนบัตรดังกล่าว คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 186 (9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ธนบัตรของกลางที่จำเลยทอนให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการล่อซื้อเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษจึงต้องริบ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 การริบทรัพย์สินนี้ แม้ ป.อ.มาตรา 18 จะบัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญ จึงต่างกับโทษสถานอื่น ซึ่งบางกรณีแม้จำเลยจะไม่ได้กระทำผิดหรือกระทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ ดังนี้ ศาลจึงมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินของกลางนี้ได้ มิใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแยกความผิดครอบครองเพื่อจำหน่ายกับจำหน่ายยาเสพติด และการริบของกลางตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด
การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกับการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนลักษณะของการกระทำ แตกต่างและต่างขั้นตอนกัน สามารถแยกการกระทำแต่ละอย่างต่างหากจากกันได้ ทั้งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ก็ไม่ได้นิยามความหมายของคำว่า จำหน่าย ให้มีความหมายรวมถึงการมีไว้ในครอบครองเพื่อ จำหน่ายด้วยแสดงว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมุ่งประสงค์จะลงโทษการมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษทั้งสองกรณีจึงเป็นความผิดสองกรรม โจทก์มีคำขอให้ริบของกลางคือธนบัตร จำนวน 500 บาทที่จำเลยทั้งสองทอนให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการล่อซื้อแต่ศาลล่างมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบหรือไม่ริบธนบัตรดังกล่าวคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 และธนบัตรจำนวน 500 บาทดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ จึงต้องริบเสียตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102 การริบทรัพย์สินนี้แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จะบัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญต่างกับโทษสถานอื่น ศาลฎีกาจึงมีอำนาจสั่งริบของกลางได้ มิใช่เป็นการ เพิ่มเติมโทษจำเลย
of 64