พบผลลัพธ์ทั้งหมด 592 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1445/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีและการคืนค่าธรรมเนียมศาล: ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่ต้องคืนค่าธรรมเนียมเมื่อจำหน่ายคดีตามมาตรา 198 วรรคสอง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ไม่ได้กำหนดให้คืนค่าธรรมเนียมศาลในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความตามมาตรา 198 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 132(2) จึงไม่ต้องคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1445/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีออกจากสารบบความและการคืนค่าฤชาธรรมเนียมศาล ศาลมีอำนาจพิจารณาตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา198วรรคสองนั้นเป็นคำสั่งที่อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา132(2)ด้วยแม้มาตราดังกล่าววรรคแรกจะบัญญัติให้ศาลที่มีคำสั่งจำหน่ายคดีกำหนดเงื่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควรแต่ก็เป็นเรื่องที่ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะสั่งกำหนดเงื่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมหรือไม่หากศาลจะมีคำสั่งดังกล่าวคำสั่งนั้นก็ต้องไม่ขัดแย้งกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา151วรรคหนึ่งและวรรคสองซึ่งบัญญัติถึงเงื่อนไขในการคืนค่าธรรมเนียมศาลไว้โดยเฉพาะดังนี้เมื่อมาตรา151ไม่ได้กำหนดให้คืนค่าธรรมเนียมศาลในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา198วรรคสองประกอบด้วยมาตรา132(2)จึงไม่จำต้องคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9159/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลและการจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ไม่ดำเนินคดีต่อ
ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมศาล ศาลจะคืนให้ได้ต้องเป็นกรณีที่ระบุไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 151 ส่วนการจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงนั้น ถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ซึ่งเป็นความผิดพลาดของโจทก์เองศาลจึงจำหน่ายคดีตามมาตรา 198 วรรคสอง โดยไม่สั่งคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9159/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลและการจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาล ศาลไม่คืนค่าขึ้นศาล
ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมศาลศาลจะคืนให้ได้ต้องเป็นกรณีที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา151ส่วนการจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงนั้นถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปซึ่งเป็นความผิดพลาดของโจทก์เองศาลจึงจำหน่ายคดีตามมาตรา198วรรคสองโดยไม่สั่งคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 649/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความต้องฟ้องคู่กรณีทั้งสอง การจำหน่ายคดีออกจากสารบบทำให้ศาลไม่สามารถบังคับตามคำขอได้
การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยทั้งสองนั้นโจทก์จะต้องฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่กรณีที่ทำนิติกรรมการที่โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่1ออกจากสารบบความจะทำให้ศาลไม่สามารถพิจารณาพิพากษาตามคำขอของโจทก์ได้เพราะจำเลยที่1เป็นบุคคลนอกคดีเสียแล้วปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6053/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเฉพาะจำเลยรายบุคคล เมื่อโจทก์ไม่ดำเนินคดีต่อ
คดีที่มีจำเลยหลายคน เหตุที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความเพราะถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปตาม ป.วิ.พ.มาตรา 198 วรรค 2 ไม่จำต้องเกิดขึ้นแก่จำเลยทุกคนในคดีเสมอไป กรณีอาจเกิดขึ้นแก่จำเลยเป็นรายบุคคลก็ได้ ในกรณีที่เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นแก่จำเลยในคดีเป็นรายบุคคล ศาลจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยรายที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดเวลาดังกล่าวเท่านั้น เพราะถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยรายนั้นต่อไป ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีทั้งคดีออกเสียจากสารบบความหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6053/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเฉพาะจำเลยรายบุคคลเมื่อโจทก์ไม่ดำเนินการ
คดีที่มีจำเลยหลายคนเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความเพราะถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา198วรรค2ไม่จำต้องเกิดขึ้นแก่จำเลยทุกคนในคดีเสมอไปกรณีอาจเกิดขึ้นแก่จำเลยเป็นรายบุคคลก็ได้ในกรณีที่เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นแก่จำเลยในคดีเป็นรายบุคคลศาลจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยรายที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดเวลาดังกล่าวเท่านั้นเพราะถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยรายนั้นต่อไปศาลจะสั่งจำหน่ายคดีทั้งคดีออกเสียจากสารบบความหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5966/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการขยายเวลาชำระค่าขึ้นศาลและการจำหน่ายคดีเมื่อไม่ชำระตามกำหนด
คำร้องขอขยายเวลาชำระค่าขึ้นศาลเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งตามที่เห็นสมควรและคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องอนุญาตให้ขยายเวลาการวางเงินหรือไม่เท่านั้นหาได้เป็นการสั่งเกี่ยวกับการรับหรือไม่รับคำฟ้องของโจทก์ไม่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5812/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว: การจำหน่ายคดี
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฏว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่นั้น ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้วโดยพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ผลก็คือโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายตรงข้ามกับจำเลยผู้ขอคุ้มครองชั่วคราวตาม ป.วิ.พ.มาตรา 264 เป็นฝ่ายชนะคดีและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มิได้กล่าวถึงวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาที่ศาลอุทธรณ์ได้สั่งไว้ในระหว่างการพิจารณา คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาย่อมเป็นอันยกเลิกไปในตัว ตามมาตรา 264 วรรคสอง ประกอบมาตรา 260 (1)จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป ศาลฎีกาให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5739/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสั่งจำหน่ายคดีทิ้งฎีกา และการกำหนดจำนวนหนี้ในคดีล้มละลาย
เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทิ้งฎีกา เป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาสั่งจำหน่ายคดี มิใช่เป็นอำนาจของศาลชั้นต้น
กรณีจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทิ้งฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา132 (1) ไม่ได้บังคับว่าศาลจะต้องสั่งจำหน่ายคดีเสมอไป บทบัญญัติดังกล่าวให้ศาลใช้ดุลพินิจตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป
ปัญหาว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์กำหนดจำนวนได้แน่นอนหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยทั้งสามมิได้ให้การไว้และมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามก็ยกขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153
หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย ล้วนแต่เป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจำเลยทั้งสามให้การยอมรับว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจริง หนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันจำเลยทั้งสามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145และหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวสามารถคิดคำนวณเป็นจำนวนแน่นอนได้ จึงเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 (3) โดยไม่จำต้องมีพยานบุคคลมาเบิกความประกอบ
กรณีจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทิ้งฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา132 (1) ไม่ได้บังคับว่าศาลจะต้องสั่งจำหน่ายคดีเสมอไป บทบัญญัติดังกล่าวให้ศาลใช้ดุลพินิจตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป
ปัญหาว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์กำหนดจำนวนได้แน่นอนหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยทั้งสามมิได้ให้การไว้และมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามก็ยกขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153
หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย ล้วนแต่เป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจำเลยทั้งสามให้การยอมรับว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจริง หนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันจำเลยทั้งสามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145และหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวสามารถคิดคำนวณเป็นจำนวนแน่นอนได้ จึงเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 (3) โดยไม่จำต้องมีพยานบุคคลมาเบิกความประกอบ