คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
จำเลยร่วม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 241 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1702/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องผิดตัวและการเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จำเลยร่วมไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยเดิม
โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์นั่ง ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเจ้าของรถยนต์บรรทุกและเป็นนายจ้างของ ส. และฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุก โดยมิได้ฟ้อง ส. คนขับรถยนต์บรรทุกผู้กระทำละเมิด ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์เพิ่งทราบว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกและเป็นนายจ้างของ ส. จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ดังนี้ จำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องเดิมกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน รูปคดีเป็นเรื่องฟ้องผิดตัว โจทก์จะขอให้ศาลหมายเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ถูกสงวนไว้เพื่อสร้างโรงเรียน แม้โจทก์ครอบครองและมี น.ส.3ก. ก็ใช้สิทธิยันจำเลยร่วมไม่ได้
ที่ดินที่ทางราชการสงวนไว้เพื่อสร้างโรงเรียนระดับประถมศึกษาโดยครูใหญ่เป็นผู้จับจองไว้ และต่อมาได้แจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค.1ในนามของศึกษาธิการอำเภอ ขณะนั้นโรงเรียนระดับประถมศึกษาสังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาได้โอนมาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์จำเลยร่วม จำเลยร่วมได้สร้างโรงเรียนในที่ดินดังกล่าวด้านทิศตะวันตก ส่วนทางด้านทิศตะวันออกอันเป็นที่ดินพิพาทเคยให้โจทก์เช่า ดังนี้ ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ทางราชการคือจำเลยร่วมสงวนไว้สำหรับสร้างโรงเรียน เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304 (3) (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2798-2799/2523)
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์จะครอบครองมาและได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วก็ไม่ได้สิทธิครอบครองและใช้ยันจำเลยร่วมไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิไล่เบี้ยจากสัญญาหย่า: ไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์ผู้รับเช็ค
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค จำเลยมีสัญญาหย่ากับจำเลยร่วมว่า จำเลยร่วมผู้สามียอมรับผิดในหนี้สินที่เกิดขึ้นระหว่างเป็นสามีภริยากันทั้งสิ้น สิทธิระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมนี้ไม่เกี่ยวกับโจทก์ เป็นสิทธิตามสัญญาหย่ามิใช่เป็นการใช้สิทธิไล่เบี้ยตามกฎหมาย ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(3) บัญญัติไว้ จำเลยไม่มีสิทธิขอให้ศาลหมายเรียก จำเลยร่วมเข้ามาในคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3364/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยร่วมที่เป็นคู่ความ ทำให้การพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ร่วมรับผิดฐานละเมิดจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธอ้างว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยร่วม และขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) จำเลยร่วมให้การปฏิเสธและเป็นปรปักษ์ทั้งต่อโจทก์และจำเลยทั้งสองเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ อ้างว่าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความผิดของจำเลยร่วมเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยร่วมยังเป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์การที่ศาลชั้นต้นจัดส่งสำเนาให้เฉพาะโจทก์และไม่นัดให้จำเลยร่วมมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเหตุให้จำเลยร่วมพ้นจากคดีไปลอยๆ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243 (2), 247 ให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยร่วมแล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3364/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่แจ้งจำเลยร่วมในชั้นอุทธรณ์ทำให้การพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ร่วมรับผิดฐานละเมิดจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธอ้างว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยร่วม และขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) จำเลยร่วมให้การปฏิเสธและเป็นปรปักษ์ทั้งต่อโจทก์และจำเลยทั้งสองเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ อ้างว่าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความผิดของจำเลยร่วมเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยร่วมยังเป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์การที่ศาลชั้นต้นจัดส่งสำเนาให้เฉพาะโจทก์และไม่นัดให้จำเลยร่วมมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเหตุให้จำเลยร่วมพ้นจากคดีไปลอยๆ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2),247 ให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยร่วมแล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3077/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีขับไล่ที่จำเลยร่วมไม่ฎีกา
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ อันมีค่าเช่าเดือนละห้าร้อยบาท จำเลยให้การว่าบ้านพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของนางล้อมนางล้อมมอบให้จำเลยดูแลแทน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์แม้ต่อมาศาลชั้นต้นให้เรียกนางล้อมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำขอของโจทก์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยร่วมไม่ฎีกา ดังนี้ จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องสอดเพื่อคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินจากการอายัดระหว่างพิจารณาคดี ไม่ใช่การขอเป็นจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างจากจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องสอด แม้คำร้องจะใช้คำว่าขอเข้าเป็นจำเลยร่วม แต่เนื้อความเป็นเรื่องตั้งข้อพิพาทขึ้นใหม่ว่าทรัพย์สินที่ศาลสั่งอายัดชั่วคราวระหว่างพิจารณาเป็นของผู้ร้อง โดยผู้ร้องซึ่งเป็นหุ้นส่วน กับ ธ. หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯจำเลยได้ทำการประมูลกิจการของจำเลยและผู้ร้องประมูลได้ โจทก์กับ ธ.สมคบกันทำสัญญาว่าจ้างปลอม ดังนี้ หากข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องสอดคำพิพากษาคดีนี้ย่อมมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิในทรัพย์สินของจำเลยที่ผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ด้วยคำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นคำร้องเพื่อขอความคุ้มครองสิทธิของผู้ร้องอันเกิดจากข้อพิพาทคดีนี้เมื่อผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในมูลความแห่งคดี ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความด้วยการร้องสอดเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) หาใช่ผู้ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา 57(2) ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจโทษยาเสพติด: ศาลฎีกาแก้ไขโทษจำคุกเบาลงสำหรับจำเลยร่วม กระทบถึงจำเลยที่ไม่ฎีกา
ในกรณีที่ศาลฎีกาเห็นว่า ดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลล่างหนักไป สมควรกำหนดโทษจำเลยที่ฎีกาขึ้นมาให้เบาบางลงไปอีก และเนื่องจากจำเลยที่ฎีกากับจำเลยที่มิได้ฎีกากระทำความผิดร่วมกัน เหตุสมควรกำหนดโทษดังกล่าวจึงเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1139-1141/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิด, กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน, การเพิ่มจำเลยร่วม: การพิจารณาความถูกต้องของฟ้อง และอำนาจศาล
โจทก์เคยฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีละเมิดรายนี้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดห้างหนึ่ง แล้วถอนฟ้องไปเพราะฟ้องผิดตัว ต่อมาได้ยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดอีกห้างหนึ่งกับพวกเป็นจำเลยใหม่ในคดีนี้ แสดงว่าโจทก์เพิ่งรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนที่แท้จริงหลังจากฟ้องคดีแรกแล้ว นับถึงวันฟ้องคดีใหม่นี้ยังไม่เกิน 1 ปีคดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
ตามสัญญาวางมัดจำซื้อรถยนต์ (ชั่วคราว) ระหว่างโจทก์กับอ.ระบุว่า.ในระหว่างที่อ. ยังส่งเงินไม่ครบจะนำทรัพย์สินไปซื้อขายหรือทำนิติกรรมใดกับผู้อื่นไม่ได้หากฝ่าฝืนยอมให้ถือว่าได้ยักยอกทรัพย์สินของโจทก์แสดงให้เห็นว่าคู่สัญญาได้ตกลงให้กรรมสิทธิ์ในรถคันนี้ยังเป็นของโจทก์อยู่จนกว่าจะได้รับชำระราคาครบถ้วนดังนั้น เมื่อโจทก์ผู้ขายยังไม่ได้รับชำระราคาครบถ้วนโจทก์จึงยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดได้
โจทก์ฟ้องห้างหนึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์เพิ่งทราบว่ารถยนต์ที่ทำละเมิดเป็นของห้างอีกห้างหนึ่งซึ่งมีสถานที่ตั้งอยู่ ณ อาคารเดียวกันกับห้างจำเลยที่ 1 บุคคลภายนอกทั่วไปย่อมเข้าใจว่าห้างทั้งสองนี้เป็นห้างเดียวกัน เพราะชื่อของห้างซ้ำและเลียนกัน หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างทั้งสองก็คือจำเลยที่ 2 คนเดียวกันป้ายชื่อก็ติดตั้งอยู่ในที่แห่งเดียวกันพนักงานลูกจ้างตลอดจนเครื่องใช้ในสำนักงานก็ใช้ร่วมกัน โจทก์จึงชอบจะขอให้ศาลหมายเรียกห้างอีกห้างหนึ่งนั้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ และศาลย่อมมีอำนาจที่จะเรียกห้างอีกห้างหนึ่งนั้นเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(3)(ข) ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คออกให้ผู้ถือ การต่อสู้สิทธิของผู้ทรงเช็ค และการเรียกจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยผู้สั่งจ่าย จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียก ส. เข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) โดยอ้างว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่ ส. และได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่ ส. ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยจำเป็นต้องฟ้อง ส. เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย ดังนี้ เมื่อตามคำฟ้องและคำให้การไม่ปรากฏว่าส. เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาท จึงไม่มีกรณีที่จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับ ส.ตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงินส.ไม่ต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คพิพาทคนใดเลย ไม่มีความผูกพันร่วมกับจำเลยที่จะต้องชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะเรียก ส. เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกให้แก่ผู้ถือ จำเลยผู้สั่งจ่ายมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่าโจทก์ผู้ทรงได้รับโอนเช็คพิพาทมาด้วยการคบคิดกันฉ้อฉล ทั้งคำให้การก็มิได้บรรยายให้เข้าใจได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากผู้ใด ด้วยวิธีใดอันจะถือได้ว่าเป็นการคบคิดกันฉ้อฉล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากผู้อื่นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทด้วยการคบคิดกันฉ้อฉล ดังนั้นในเบื้องต้นจึงจะต้องถือว่าโจทก์รับเช็คพิพาทมาโดยสุจริต แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยให้การว่า จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่ ส.แล้วแต่ส. ไม่คืนเช็คพิพาทให้ก็ตามการที่ ส. ฝ่ายเดียวเป็นผู้ทุจริต จำเลยก็ไม่อาจต่อสู้โจทก์ผู้ทรงเช็คพิพาทด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับ ส. ได้ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นได้งดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จึงเป็นการชอบแล้ว
of 25